US East Coast Road Trip EP3 – Washington DC/Philly/Boston

แปะลิ้งค์ให้กดไปดู EP อื่นๆได้ง่ายๆจ้า

EP1 Intro + บินถึง Chicago/Kellogg School of Management

EP2 New York

EP3 Washington DC, Philadephia, Boston

EP4 Acadia National Park/Chicago

Day 5 (17/07) Washiton DC

Accommodation (Washington DC)

ฉันจอง AirBnb ที่อยู่ห่างจากเมืองเล็กน้อยจะได้มีที่จอดรถ จริงๆโดนที่พักแห่งแรกที่จองได้เทมาทีหนึ่งก่อนที่จะมาลงตัวเอาที่นี่ มีความงงในการใช้ smart lock เป็นครั้งแรกตอนเที่ยงคืนแต่ในที่สุดก็สามารถเข้าพักได้

เช้าวันนี้ พอตื่นนอนตอนแปดโมงก็ต้องรีบเก็บกระเป๋าเอาไปไว้ในรถแล้วเช็คเอ้าท์เลยก่อนที่จะนั่ง Lyft ออกไปเที่ยวในเมือง โดยนั่งมากินข้าวเช้าที่ Union Station ก่อน

ชอบร้านนี้มาก Pret a Manger อาหารค่อยดูสุขภาพดีขึ้นมาหน่อย หลังจากอัด burger กับไก่ทอดไปหลายมื้อ

มาดูแผนวันนี้กันค่ะ

US Capital

อาคารรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา สามารถจองทัวร์ฟรีผ่าน www.visitthecapitol.gov ได้ รอบล่ะ 1 ชั่วโมง

กว่าจะกินเสร็จคือสิบโมงกว่า แล้วจองทัวร์ไว้ตอน 10.40 โดยต้องไปถึงก่อนเวลา 30 นาที เพื่อผ่าน security check วิ่งกันหูตูบเลยกลัวไม่ทันทัวร์ กฎคือห้ามนำอาหารและน้ำเข้า (แต่ขวดน้ำที่ไม่มีน้ำเอาเข้าได้ค่ะ)

แค่ต่อคิวเข้าไปใน visitor center ในตัวตึก ยังต้องใช้เวลาสักพัก

เข้าไปจะเป็นคิวประมาณนี้

ให้เอาอีเมลไปถามๆเจ้าหน้าที่แล้วจะได้สติกเกอร์มาแปะรอเข้าชมข้างใน

Capital Rotunda

ห้องโถงใหญ่ภายใต้ยอดโดมของอาคาร มีภาพเขียนเฟรสโกชื่อ The Apotheosis of George Washington ผลงานของ Constantino Brumidi เป็นภาพจอร์จ วอชิงตัน รายล้อมด้วยหญิงพรหมจรรย์ 13 คนพร้อมเหล่าทวยเทพกรีกโรมัน โดยใช้เวลารังสรรค์นาน 11 เดือน

รอบๆผนังมีภาพวาดเหตุการณ์สำคัญและรูปปั้นบุคคลสำคัญ ได้แก่ ประธานาธิบดีคนก่อนๆ และผู้มีชื่อเสียงของแต่ละรัฐ

เสื้อแดงที่ยืนโบกมืออยู่คือเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นไกด์ของกรุ๊ปฉันเอง

รูปข้างล่างนี้ไกด์อธิบายว่าคือโพทาคอนทัส ตกลงไม่ได้แต่งงานกับ จอห์น สมิธ นะ แต่แต่งกับ จอห์น คนอื่น อ้าว ดิสนีย์หลอกดาว

รูปตรงขอบบนเขียนให้มีมิติจนตอนแรกนึกว่าเป็นรูปปั้น เป็นประวัติศาสตร์ร้อยกว่าปีตั้งแต่โคลัมบัสเหยียบอเมริกาจนถึงพี่น้องตระกูลไรท์ประดิษฐ์เครื่องบิน

วิจิตรขั้นสุด


National Statuary Hall

มีรูปปั้นบุคคลสำคัญอยู่ 100 รูปปั้น แบ่งอยู่ตามที่ต่างๆในตึก แต่อยู่ห้องนี้เยอะสุด (หลากหลายสายอาชีพ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองอย่างเดียว เช่น มีคนหนึ่งเป็นหมอที่ประดิษฐ์แอร์คอนดิชันขึ้นมาได้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ความเย็นรักษาคนไข้)

ที่นี่เคยเป็นห้องประชุมวุฒิสภา โดยวุฒิสภาที่ได้เป็นประธานาธิบดีจะมีแผ่นป้ายอยู่ที่พื้นตรงจุดที่เป็นโต๊ะของวุฒิสภาท่านนั้น ลินคอร์นก็เป็นหนึ่งในนี้ แต่หาป้ายไม่เจอ แป่ว

The Crypt

เจ้าหน้าที่ย้ำหลายครั้งมากว่า Compass Star เป็นจุดกึ่งกลางของตึกเท่านั้น ไม่ใช่ของเมือง ห้ามมาลูบเดี๋ยวหินอ่อนเสียหาย

United States Senate

สามารถโชว์ passport แล้วผ่าน security check เพื่อเข้าไปนั่งดูวุฒิสภาประชุมกันได้ (วันที่ฉันไปกำลังโหวตเรื่องสนธิสัญญาระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นอยู่) โดยห้ามแสดงสีหน้าและท่าทางใดๆทั้งสิ้น ถ่ายรูปก็ไม่ได้เพราะโดนยึดของไว้แล้ว แต่สรุปคือไม่เห็นจะจริงเพราะอีคนข้างๆและข้างหลังปรบมือซะเสียดังเลย เจ้าหน้าที่ก็ไม่เห็นว่าอะไร จริงๆมี House of Representative ให้ดูด้วย แต่ขี้เกียจไปผ่าน security check อีกรอบแล้ว

The Statue of Freedom

รููปปั้นบนยอดโดมของรัฐสภา เป็นนักรบหญิงสวมใส่ชุดชาวพื้นเมือง สวมมงกุฎแบบโรมัน มือหนึ่งถือดาบอีกมือมีช่อใบมะกอก ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพ

จบด้วยมุมจาก Reflection Pond ที่ช่างภาพชอบมาถ่าย US Capital สะท้อนผืนน้ำกันตรงนี้ จะว่าไปก็คล้ายกับรัฐสภาบ้านเราเลย ใครเลียนแบบใครเนี้ย

Library of Congress

ตั้งอยู่ทางตะวันออกของอาคารรัฐสภา ถือเป็นห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง แต่ไม่ต้องไปเดินข้างนอกฝ่าแดดร้อนๆ มีอุโมงลอดไปห้องสมุดจาก US Capital เลย

มีทัวร์ด้วย แบบ first come first serve ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เราไม่ได้ไป เวลาไม่พอ

ทีเด็ดอยู่ที่ Circular Main Reading Room

ด้านนอกตัวตึก อลังอยู่เหมือนกัน ตึกนี้นี้ก็คล้ายกับพระบรมมหาราชวังที่อยู่ติดกับวัดพระแก้ว

Supreme Court

ไม่มีประวัติอะไร ไปถ่ายรูปสวยๆเป็นศิริมงคลพอ


Smithsonian Castle

อาคารหลังแรกของสถาบันสมิธโซเนียน (เป็นสถาบันที่ก่อตั้งด้วยเงินมรดกของ James Smithson มอบให้รัฐบาล US เพื่อเพิ่มพูนและเผยแพร่ความรู้)

Washington Monument

อนุสาวรีย์ที่สร้างให้กับจอร์จ วอชิงตัน เป็นเสาหินโอเบลิสก์แบบอียิปต์โบราณสูง 165 เมตร เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดใน DC หินที่นำมาสร้างถูกบริจาคมาจากรัฐต่างๆและต่างประเทศ มีหินบางช่วงมีสีต่างกันเนื่องจากเว้นระยะเวลาก่อสร้างไปนาน

หลังจากปรับปรุงมา 2 ปี กำลังจะเปิดให้เข้าชมใน August 2019 และมีการตกแต่งเป็นจรวดเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีที่ไปเหยียบดวงจันทร์ในอีก 2 วันข้างหน้า (ตกลงมาไม่ตรงอะไรซักอย่างเลย เศร้า)

รูปนี้ถ่ายจาก Lincoln Memorial สวยไปอีกแบบ

The White House

ทำเนียบขาว ที่พักของประธานาธิบดีสหรัฐ เริ่มก่อสร้างในปี 1792 ตามความคิดของจอร์จ วอชิงตัน แต่เจ้าตัวเสียชีวิตก่อนคนที่อยู่คนแรกคือจอห์น อดัม

ตอนนี้เป็นบ้าน Trump ไปแล้ว มาดูสวนหลังบ้านไปไกลๆ

Lincoln Memorial

สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่ อับราฮัม ลิงคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของประเทศ อาคารนี้ออกแบบให้มีเสาดอริก 38 ต้น มีความหมายถึง 38 มลรัฐขณะที่ลิงคอล์นดำรงตำแหน่ง (มลรัฐทางใต้ 13 แห่งที่มีแรงงานทาสไม่ยอมรับนโยบายเลิกทาสของเขาแยกตัวออกไป)

ไปดูลิงคอล์นกันใกล้ๆ

บันไดข้างหน้าก็คือบันไดที่ Dr.King กล่าวสุนทรพจน์ในปี 1963

วันนี้แดดแรงมาก รูปสวยจริงแต่เกือบเป็นลมแดดไปตามๆกัน อารมณ์ว่าหนังศีรษะถูกเผาจนแดง สระผมแล้วแสบ วันนี้เดินกันเบาะๆ 10 กิโลนิดๆ น้อยกว่าเมื่อวานนิดนึง แต่แนะนำว่าถ้าจะเที่ยวตามนี้ควรหาทางเช่าจักรยาน หรือเที่ยว US Capital, Library of Congress, Supreme Court แล้วนั่ง Lyft มาที่ Lincoln Memorial เลย ซึ่งสามารถถ่าย Washington Monument จากมุมนี้ได้ (เป็นมุมที่สวยที่สุดแล้วในความคิดฉัน) ส่วน The White House ถ้ามีแรงเดินก็เดินไปดูก็ได้

จริงๆมีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจอีกเยอะ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วไปดูกันได้นะ

เสร็จแล้วพวกเรา Lyft กลับมาที่ที่พักเพื่อเอารถและขับไป Philadelphia โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รอบนี้เป็นตาฉันขับ ยังไม่ทันออกจาก DC ก็เจอฉากตำรวจบุกจับคนร้ายในละแวกที่พักแล้วจอดรถไว้กลางถนนทำให้ขับผ่านไปไม่ได้ (คือไม่ได้อยากอยู่เป็นพยานเล้ยยย) แถมเจอพายุฝนกระหน่ำมาตลอดทาง เล่นเอาขับแบบเกร็งๆโดยมีคุณสำลีบ่นพึมพำกำกับอยู่ตลอดเวลา ปวดบ่าเลย

Day 6 (18/07) Philadephia

Accommodation (Philadelphia)

ที่พักค่อนข้างดี มีเครืองซักผ้าเครืองอบผ้าให้ใช้ฟรีๆ (แค่ต้องเตรียมผงซักฟอกน้ำยาปรับผ้านุ่มมาเอง) ไม่แพงมากด้วย

ข้อเสียคืออยู่ห่างจากตัวเมืองไปหน่อยและอยู่ในย่านของคนผิวสี อารมณ์ประมาณเดินเข้าไปในห้างหรือ McDonald’s คือมีแต่ African American ทั้งร้านและมองพวกเราอย่างสนใจ เริ่มเข้าใจข่าวที่คนขาวชอบไป report ตำรวจว่ากลัวคนผิวสี ฉันไม่ได้เป็นคนเหยียดผิวหรืออะไร แต่พฤติกรรมแบบน่ากลัวจริงๆ อยู่ๆก็ตะโกนเสียงดังเป็นหมู่คณะ เนียนแซงคิวบ้าง เด็กหน่อยก็วิ่งมาถามว่าเอาของมาให้ช่วยถือไหม

มาดูแผนเที่ยววันนี้กันจ้า

วันนี้ลองนั่งรถไฟเข้าเมืองดูด้วยความงกและตามกูเกิ้ลบอกว่าเร็วกว่ารถยนต์

Independence Visitor Center

ไปถึงค่อนข้างสาย (11 โมงครึ่ง) รีบไปต่อแถวเอาบัตรทัวร์ Independence Hall ฟรี

ระหว่างนั้นก็ให้คุณสำลีต่อคิวก็วิ่งไปเอาแผนที่และซื้อตั๋ว Phlash Bus (อ่านว่า แฟลช ฉันไปเรียกว่าสแปลช เจ้าหน้าที่ถึงกับไปไม่เป็นเลย) แบบขึ้นได้ทั้งวัน $5 ตั้งแต่ 10.00-18.00 (ถ้าเป็นเที่ยว เที่ยวล่ะ $2)

หน้าตา Phlash Bus นั่งกันให้ฉ่ำตูดไปเลยวันนี้

สามารถเข้าไปดูในเว็บมันว่ารถวิ่งกันถึงไหน สะดวกใช้ได้เลย

ใกล้จะไปถึงหัวคิวทัวร์ Independence Hall เจ้าหน้าที่ประกาศว่าตั๋วหมดแล้วเล่นเอาใจหาย คนข้างหน้าค่อยๆทยอยออกจากแถวแต่พวกเราก็ยังยืนยันที่จะอยู่ในแถว จนมาถึงคิว เจ้าหน้าที่ทำหน้าหนักใจแล้วถามว่า ยูไปตอนนี้ได้เลยไหม คือมันมีตั๋วของรอบ 12.20 น. เหลือแต่ต้องวิ่งไปตอนนี้นะ ฉันรีบรับตั๋วมาด้วยมืออันสั่นเทาเพราะตกใจในความโชคดี (ปกติจะไม่ค่อยมีโชคด้านนี้) และรีบเปิด Google Maps จับมือคุณสำลีดวิ่งออกไปยัง Independence Hall (ดังนั้น ใครมาช่วง peak season อย่าลืมตื่นเช้าๆมาเอาตั๋วก่อน 11 โมงน้า มันหมดเร็ว)

Independence Hall

สถานที่ประชุมสภาแห่งทวีปครั้งที่ 2 ของ 13 อาณานิคมในปี 1775 เพื่อจัดตั้งกองทัพอาณานิคมโดยเลือก จอร์จ วอชิงตัน เป็นแม่ทัพ และ โทมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพ (The Declaration of Independence) โดยการประชุมสภาครั้งแรกจัดที่ Carpenters’ Hall ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อคว่ำบาตรสินค้าจากอังกฤษ ความสำคัญของที่นี่มีหลายอย่างอาทิ

  • อ่านและรับรองคำประกาศอิสรภาพและร่วมลงสัตยาบันจากตัวแทนอาณานิคมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776
  • ร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมถึงอภิปรายแก้ไขหลายครั้ง
  • ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน และ จอห์น อดัมส์ เคยนั่งทำงานที่ดีในช่วง Philly เป็นเมืองหลวง (แห่งแรก) ระหว่างปี 1790-1800
  • มีอนุสาวรีย์ จอร์จ วอชิงตัน และ จอห์น แบร์รี่ แม่ทัพคนสำคัญช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา เจ้าของฉายา ‘The Father of the American Navy’

ไปยืนรออยู่แป๊ปนึงก็เจอไกด์ ถ้าไม่บอกคงนึกว่าเป็นหัวหน้าเนตรนารีหมู่เจ็ด

เจ้าหน้าที่พาเข้าไปนั่งในห้องแรกเพื่อปูพื้นฐานความรู้ประวัติศาสตร์อเมริกา เริ่มจากสหราชอาณาจักรเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนใหม่ แบ่งเป็น 13 อาณานิคม บางอาณานิคมตั้งเพื่อการค้า เช่น เวอร์จิเนีย บางอาณานิคมตั้งขึ้นสู้รบเพื่อป้องกันดินแดนที่ติดกับดินแดนอื่นๆ เช่น อาณานิคมในทางใต้  และอาณานิคมที่ตั้งเพื่อเผยแพร่ศาสนา นั่นคือก็ เพนซิเวเนีย ซึ่งเกิดจากตระกูล Penn ร่ำรวยจนสามารถให้พระเจ้าจอร์จที่สามยืมเงินและได้ที่ดินผืนนี้มาเป็นค่าตอบแทน วิลเลียม เพนน จึงเข้ามาเผยแพร่ศาสนา Quaker ที่นี่

ย้ายไปห้องถัดไป เจ้าหน้าที่เล่าไปถึงช่วงที่อเมริกาจะประกาศอิสรภาพในปี 1776 เป็นห้องที่คำประกาศอิสรภาพและรัฐธรรมนูญถูกถกเถียงและเซ็นชื่อโดยเหล่า Founding Fathers

คำประกาศอิสรภาพแบบฉบับใหญ่เบิ้ม


ห้องสุดท้ายพูดถึงอำนาจ 3 อย่างที่ถ่วงดุลกันอยู่ เรียกว่า checks and balance เจ้าหน้าที่เหล่าไปถึงรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นมาก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ โดยกว่าที่ผู้หญิงจะมีสิทธิโหวต (ทั้งๆที่จ่ายภาษีเหมือนกัน) ก็ย่างเข้าปี 1900 และถึงกระนั้นผู้หญิงผิวสีก็ยังต้องรอกว่าอีก 10 ปีถึงจะมีสิทธิโหวตได้ ก่อนจบทัวร์เจ้าหน้าที่ยังขอให้ทุกคน work hard เพื่อที่จะรักษาอิสรภาพที่บรรพบุรุษเสียสละเพื่อให้ได้มา ทำเอาซะขนลุกเลย (ขนาดไม่ได้เป็นคนประเทศนี้นะเนี่ย)

อนุสาวรีย์ของ จอห์น แบร์รี่

อนุสาวรีย์ของ จอร์จ วอชิงตัน (อยู่ด้านหลังตึกที่ติดกับถนน)

Liberty Bell

ระฆังแห่งอิสรภาพ เอามาจากอังกฤษ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการก่อตั้งประเทศและใช้ตีฉลองการประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 จนกระทั้งปี 1835 เอามาตีฉลองวันเกิด จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกแล้วเกิดรอยร้าว จึงถูกยุติการใช้งาน คนสำคัญๆที่เคยมาเยี่ยมชมระฆังใบนี้ ได้แก่ องค์ดาไลลามะ และ เนลสัน แมนเดลา

ต้องต่อคิวนานพอสมควรกว่าจะผ่าน security check ก่อนเข้าชม

Carpenter’s Hall

สถานที่จัดการประชุมสภาครั้งแรกเพื่อคว่ำบาตรสินค้าจากอังกฤษ ไปถึงก็ฝนตกพอดี

เข้าไปหลบฝนเจอป้าเจ้าหน้าที่มาเล่าประวัติอเมริกาภาคต่อให้ฟัง ย้อนกลับไปตอนประชุมสภาแห่งทวีปครั้งแรก สาเหตุที่เลือก Philadelphia ก็เพราะว่าอยู่ตรงกลางพอดี ตัวแทนของแต่ละอาณานิคมสามารถนั่งเรือมารวมกันตรงกลางได้ ซึ่งปลอดภัยกว่าการคมนาคมทางบก หลังจากประกาศอิสรภาพ Philadelphia เป็นเมืองหลวงอยู่เพียงแค่ 10 ปี เพราะว่าอาณานิคมทางเหนือและทางใต้เรียกร้องอยากจะมีเมืองหลวงเป็นของตัวเอง เลยเลือกพื้นที่ตรงกลางๆ แบบ no where สุ่มขึ้นมา ตั้งชื่อตามประธานาธิบดีคนแรก กลายเป็นเมืองหลวง Washington District of Columbia

DC ไม่ถือว่าเป็นรัฐ และคนที่อาศัยใน DC ก็ไม่มีสิทธิ์โหวตเลือกประธานาธิบดี ตอนนี้มีการเรียกร้องให้ DC และเปอร์โตริโก้กลายเป็นรัฐ แต่เพราะทั้งสองอยู่ฝั่งเดโมแครตทั้งคู่ ฝั่งรีพับลิกันเลยยังไม่ยอม

Reading Terminal Market

ฝนตกหนัก พวกเราเลยตัดสินใจนั่ง Phlash Bus ไปหาอะไรกินที่ Reading Terminal Market ตลาดเก่าแก่และสำคัญที่สุดของเมืองนี้ (Phlash Bus หมายเลข 4) คนมหาศาลเพราะทุกคนคิดเหมือนกันหมด โน้วว


ลองกิน Cheesestake Sandwich ที่เลื่องชื่อของเมือง Philly ที่ร้าน DiNic ขอเรียกว่าเป็น Cheesestake Sandwich แบบรักสุขภาพ (คือดูมันคลีนมาก) คุณสำลีบอกว่าอร่อยดี (แต่ร้านนี้ต้องซื้อชีสแปะเพิ่ม แต่พวกเราไม่รู้ว่าพาโวโลเป็นชื่อชีสเลยไม่ได้สั่งมาแปะ มึนไปอี้ก) ซื้ออันเดียวพอมาแบ่งกันกิน 2 คนเพราะอันมันใหญ่เหลือเกิน กินกับพริกดอง พริกไทย ซอส แก้เลี่ยนได้

ขาออกผ่านร้านหนึ่งคนต่อคิวเยอะมากและมีชีสแบบไหลเยิ้มๆ แต่อิ่มแล้วเลยไม่ได้ซื้อมาชิม เพื่อนๆลองเดินดูให้รอบๆก่อนตัดสินใจกินได้นะจ๊ะ

City Hall & LOVE park

(Phlash Bus หมายเลข 5) City Hall ศาลาว่าการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา มีหอระฆังสูง 167 ยอดบนสุดมีรูปปั้น วิลเลียม เพนน์ ผู้ก่อตั้งเมือง เคยมีกฎออกว่าไม่ให้มีสิ่งก่อสร้างสูงกว่าหมวกของเพนน์แต่ยกเลิกไปแล้ว มีทัวร์ขึ้นไปดูวิวที่หอระฆังข้างบนด้วย

ที่ City Hall มีน้ำพุข้างหน้า พ่นควันออกมาเหมือน dry ice ที่ใช้ในคอนเสิร์ต ระหว่างคุณสำลีกำลังตั้งท่าจะให้ฉันวิ่งเข้าไปถ่ายในควัน ผู้ชายคนหนึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาเดินเข้าเฟรมอย่างเท่ (แต่กุงงมาก)

Love Park ชื่อทางการคือ John F. Kennedy Plaza เรียกว่า LOVE Park เพราะประติมากรรมตัวอักษร

นอกจากคำว่า LOVE แล้วยังมีข้อความ I love Philly ให้ไปถ่ายรูปด้วยนะ

Philadelphia Museum of Art & Rocky Steps

(Phlash Bus หมายเลข 12 แต่พวกเราไปลง 11 ซึ่งเป็นจุดสำหรับคนจะไปดูนิทรรศการที่จะแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ค่าเข้าชม $20)

Rocky Steps เป็นบันไดทางขึ้นพิพิธภัณฑ์สูง 72 ขั้น เคยเป็นฉากในหนังเรื่อง Rocky ซึ่งมี ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กำกับ เขียนบท และแสดงนำ มีรูปปั้นของเขาอยู่เชิงบันไดด้านขวามือ หนัง Rocky ทั้ง 5 ภาคล้วนมีฉากอยู่ใน Philly และมีฉากบันไดอยู่แทบทุกภาค

จะเห็นคนมาวิ่งขึ้นบันได้ตรึมเลย ส่วนพวกเราไม่เคยดู Rocky Balbou ซักภาคหรอก เปิด Youtube ดูฉากยอดฮิตแล้วทำตามเลย (ท่าคลาสสิกตอนซ้อมมวย วิ่งขึ้นบันไดมาชูมือไชโย) นั่น ร็อกกี่ บัลบัว นี่ ร็อกกี้ บัวบาน


มีรูปปั้นของร็อกกี้ด้วยนะ แต่ฝนตกเลยขี้เกียจเข้าคิวไปถ่ายรูป

Christ Church Burial Ground

สุสานของโบสถ์ Christ Church สถานที่ฝังศพของ เบนจามิน แฟรงคลิน และผู้ร่วมลงนามท้ายคำประกาศอิสรภาพอีก 4 ท่าน รวมถึงกัปตัน William Budden ผู้นำระฆังแห่งอิสรภาพกับระฆังของ Christ Church มาจากอังกฤษ

Betsy Ross House

บ้านของ Betsy Ross ซึ่งเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่ จอร์จ วอชิงตัน มอบหมายให้เย็บธงชาติผืนแรก ซึ่งกลายเป็นต้นแบบธง The Stars and Stripes โดยแถบแดงขาย 13 แถบและดาว 13 ดวงสื่อถึง 13 อาณานิคม หลังจากนั้นจึงมีการเพิ่มดาวเข้าไปตามจำนวนรัฐ ภายในมีจัดแสดงเรื่องราวการเย็บธงชาติแบบเสียสตางค์เข้าชม

Elfreth’s Alley

เป็นตรอกที่มีอาคารบ้านเรือนตั้งแต่ยุคอาณานิคม อายุกว่า 300 ปี

บ้านแถวนั้นน่ารักดี

แถมซุ้มไม้เลื้อยอีกรูป

จริงๆยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอื่นอีก เช่น Washington Square แต่ฝนตกเริ่มหนักพวกเราเลยตัดสินใจขึ้น Lyft กลับที่พัก เพื่อนๆสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ

Day 7 (19/07) Boston (1/2)

วันนี้วางแผนขับรถจาก Philadephia ไป Boston ยาว 6 ชั่วโมงกว่าจะถึงก็โน่น 5 โมงเย็นเลย

ผ่านนิวยอร์กด้วย เดี๋ยวจะกลับมาอีกทีน้า

Accommodation (Boston)

เป็นที่พักที่ไม่มีอะไรพอดี ไม่มีแอร์ ตอนนอนเลยร้อนมาก ส่วนน้ำที่อาบก็เย็นจัดเหมือน Ice bucket challenge คือไม่เคยต้องอาบน้ำเย็นขนาดนี้มาก่อนในชีวิต น้ำร้อนก็เปิดไม่เป็น ขี้เกียจไปถามเลยอาบๆไปเกือบไข้จับ ไม่มีล็อกที่ประตูห้อง อาศัยลากเก้าอี้และของหนักๆไปกั้นไว้ แต่เอาเข้าจริงก็สลบยาว มีเสียงรถหวอตลอดเวลา เช็คอิน 5 โมงคือห้องยังไม่เสร็จ (คืนที่พวกเรานอนคืออยู่กัน 13 คน 5 ครอบครัว) บังคับเช็คเอ้าท์ 9 โมงเช้า

 

neighborhood เป็นย่านคนผิวสีเหมือนเดิม แต่เพราะเมืองโดยรวมสะอาดสะอ้านและน่าอยู่กว่า Philadelphia ค่อนข้างเยอะ รวมๆเลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่

ใช้ Lyft แบบแชร์ที่นี่เจอแต่คนแปลกๆ ครั้งแรกคือนั่งกินพิซซ่ากลิ่นหึ่งปาดซอสดูดนิ้วจ๊วบๆ ครั้งที่สองนั่งทะเลาะด่าแฟนเสียงดังมาตลอดทาง ครั้งที่สามคือใส่เดรสแบบโป๊มาก

เนื่องจากมาถึงก็หลัง 5 โมงเย็นไปแล้ว มีเวลาจำกัด เที่ยวได้แค่ที่เดียว เลยเลือกไปเดิน Freedom trail

Freedom trail

เส้นทางสู่อิสรภาพ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอเมริกาช่วงกำลังกอบกู้ชาติ (คาบเกี่ยวกับที่เราไปดูมาที่ Philadephia) เดินตามเส้นอิฐสีแดงไปเรื่อยๆ ระยะทางทั้งหมดประมาณ 4 กิโล ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง

ป.ล. หลัง 5 โมงเย็นทุกอย่างจะปิดหมด

Boston Common

จุดเริ่มต้นของ trail สวนสาธารณะแห่งแรกในอเมริกา อายุ 380 ปี แต่ก่อนไว้ให้วัวมาเล็มหญ้า

สามารถไปหยิบแผนที่ในศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวได้

Massachusetts State House

อาคารรัฐสภาแห่งรัฐแมสซาชูเส็ตส์ ยอดโดมที่เป็นสีทองเคลือบด้วยทองคำ 23 กระรัต สร้างระหว่าง 1795 ถึง 1798

Park Street Church

เป็นสถานที่ที่สนับสนุน social issue ต่างๆ เช่น การต่อต้านแรงงานทาส สิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิง การแต่งงานของเพศเดียวกัน

Granary Burying Ground

สุสานของบุคคลสำคัญในยุคการก่อตั้งประเทศ เช่น Paul Revere, John Hancock, Samuel Adams และเหยื่อใน the Boston Massacre (เหตุการณ์สังหารหมู่ที่บอสตันปี 1770)

หลุมของ Samuel Adams ชื่อเหมือนเบียร์เลยอ่ะ

King’s Chapel

โบสถ์ Anglican แห่งแรกของชาวเพียวริตัน (กลุ่มคนที่แยกตัวออกมาจากอังกฤษมาหาดินแดนใหม่ด้วยเรื่องของศาสนา) เคยเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพอังกฤษในช่วงสงครามปฎิวัติอเมริกา

The Boston Latin School

สถานที่ตั้งของ the Boston Latin School ที่ Benjamin เรียนจบก่อนย้ายไปอยู่ Philadephia

Old Corner Bookstore

เคยเป็นร้านหนังสือซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพบปะของบรรดานักคิดนักเขียนยุคที่บอสตันเป็นศูนย์กลางด้านการพิมพ์ของประเทศช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 ตอนนี้เป็นร้านอาหารเม็กซิกัน Chipotle

Old South Meeting House

สถานที่ประชุมเพื่อวางแผนตอบโต้อังกฤษจากการเรียกเก็บภาษีชาที่สูงลิ่ว นำโดย Samual Adams และ John Hancock นำไปสู่การเทชาจากเรือของอังกฤษลงอ่าวบอสตัน “Boston Tea Party” ในวันที่ 16 ธันวาคม 1773

Old State House

ตึกอิฐแดงที่เคยใช้เป็นที่ทำการสำนักงานข้าหลวงอังกฤษที่เข้ามาปกครองอาณานิคม ในด้านที่มีระเบียงยังเป็นที่อ่านร่างคำประกาศอิสรภาพจาก Philadephia ในชาวเมืองบอสตันได้รับฟัง ในวันที่ 18 กรกฎาคม 1776

Boston Massacre Site

ด้านหน้า Old State House เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่บอสตันในวันที่ 5 มีนาคม 1770 เมื่อทหารอังกฤษยิงกลุ่มผู้ประท้วงภาษีอากรแสตมป์ตายไป 5 คน

Faneuil Hall

เป็นอีกสถานที่ที่ใช้ประชุมช่วงการทำสงครามอิสรภาพกับอังกฤษ เคยเป็นที่ทำการรัฐบาลประจำรัฐ ปกติจะมีร้านกาแฟและร้านค้าอยู่ภายในแต่ตอนเราไปดันปิดปรับปรุงซะงั้น มีรูปปั้น Samuel Adams อยู่ข้างหน้าด้วย

Paul Revere House

บ้านของ Paul Revere หนึ่งในแกนนำต่อต้านอังกฤษ เขาอาศัยอยู่ที่บ้านนี้ตอนที่ขี่ม้าออกเป็นเตือนกองทัพช่วงที่อังกฤษบุกมาโจมตี (Midnight Ride)

Old North Church

หน้าโบสถ์มีรูปปั้น Paul Revere ขณะกำลัง Midnight Ride

ตัวโบสถ์เป็นที่แขวนโคมไฟตามสัญญาณ “One if by Land, Two if by Sea” ของ Paul Revere’s Midnight Ride

Copp’s Hill Burying Ground

หลุมศพของประชาชนทั่วไป อังกฤษเคยใช้เป็นที่ยิงปืนใหญ่ใน the battle of Bunker Hill

USS Constitution and Museum

เรือรบที่เก่าแก่ที่สุดของโลกมีชื่อว่า “Old Ironsides” แล่นใน Boston Harbor ปีละครั้ง ในการเฉลิมฉลอง Independence Day

Bunker Hill Monument

จุดเริ่มต้นของสงครามปฎิวัติอเมริกาในวันที่ 17 June 1775 สามารถปีนขึ้นไปชมวิวเมืองได้

เห็นไกลๆคล้าย Washington Monument มีรูปปั้น William Prescott อยู่ข้างหน้า ทำท่าคล้ายไมเคิล แจคสัน ซึ่งอาจจะมาบอสตันแล้วบรรเจิดท่าเต้นนี่มาก็เป็นได้

แอบไกลเหมือนกัน เดินถึง bunker คือเหนื่อยมาก แวะกินผลไม้ก่อนเรียก Lyft กลับที่พัก

Day 8 (20/07) Boston (2/2)

ตื่นแต่เช้ามาเช็คเอ้าท์เตรียมเที่ยว เรามาดูแผนเที่ยววันนี้กันจ้า

Harvard

Harvard เป็นนามสกุลของคนบริจาคเงินกับหนังสือ 400 เล่มให้กับมหาลัย ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง เริ่มแรกเป็นมหาลัยจัดตั้งเพื่อให้นักบวชได้เผยแพร่หลักคำสอนตามแนวทางของตนเอง ต่อมากลายเป็นมหาลัยที่โด่งดัง มีศิษย์เก่า 8 ท่านเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา พระบิดาของ ร.9 ก็จบแพทย์จากที่นี่

ทัวร์จีนคือเยอะมากกกกก

เดินตามทัวร์เด็กน้อยไปหาห้องน้ำปลดทุกข์ในตึก Science Center (เช็ค) กลายเป็นเจอ programmable computer เครื่องแรกของอเมริกา คุณสำลียืนแช่อยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนเลย

The Statue of Three Lies

รูปปั้ั้นของ John Harvard ที่สร้างความเข้าใจผิด 3 ประการ (1) เขาไม่ใช่ John Harvard เพราะรูปถูกไฟไหม้ไปหมด ศิลปินเลยมโนขึ้นมา (2) เขาไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง แต่ป้ายเขียนว่าผู้ก่อตั้ง (3) มหาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในไป 1636 ไม่ใช่ 1638 ตำนานมีอยู่ว่า ถ้าอยากเข้า Harvard ให้ไปลูบเท้าซ้ายของรูปปั้นนี้ ถามว่าฉันลูบไหม 5555

Harry Wildener Memorial Library

ห้องสมุดของมหาลัยที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา บริจาคโดยคุณแม่ที่เสียลูกชายไปในเหตุการณ์ไททานิคพร้อมเงื่อนไข 3 ข้อ (1) มีห้องเตรียมให้เผื่อลูกชายรอดกลับมาอ่านหนังสือ (2) ห้ามเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เดี๋ยวมาลบชื่อลูกออก (3) นักศึกษาทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น แต่เปลี่ยนแล้วเพราะขัดกับกฎหมายสิทธิความเท่าเทียม

ปัจจุบันขุดลึกลงไป 4 ชั้น (เพราะต่อเติมด้านบนไม่ได้ นักศึกษาเลยเทียบเป็น ‘Tip of the iceberd’) มีหนังสืออยู่ 15 ล้านเล่ม ใหญ่ขนาดที่ว่าวิ่งมาราธอน 2 รอบยังไม่กลับมาที่เดิม

พวกเราเข้าห้องสมุดไม่ได้ต้องเป็นนักศึกษาเท่านั้นเลยอดดู

Massachusetts Hall

ตึกเก่าแก่ที่สุดของมหาลัย สร้างเมื่อปี 1720 เคยเป็นฐานที่พักของทหารฝ่ายอาณานิคม

Memorial Hall

ใช้เวลาสร้างกว่า 14 ปี เป็นห้องโถงใหญ่ใช้เพื่องานรับปริญญา หลังคาหลายสีเป็นชั้นๆ แปลกดี คล้ายกับสถาปัตยกรรมที่เห็นที่รัสเซียเลย

King Bhumibol Adulyadej Square

สร้างเพื่อระลึกถึง ร.9 พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ตอนไปเจอคนไทยด้วย ตื่นเต้น ไม่ได้เจอคนบ้านเดียวกันมานาน (อาทิตย์เดียวเองเนี่ยนะ)


Massachusetts Institute of Technology (MIT)

มหาลัยในฝันของเด็กวิศวะ (รวมทั้งฉันด้วย แต่สมัครแล้วเค้าไม่รับง่ะ) ความเนิร์ดเริ่มจากการตั้งชื่อตึกที่เป็นตัวเลขหมด ตึกที่มีผู้อุปถัมภ์ก็มีชื่อตึกและมีตัวเลขกำกับ วิชาเรียนก็เป็นตัวเลขหมด ตึกจะสไตล์อวกาศ

เป็นมหาลัยที่ร่ำรวยมาก เพราะถือลิขสิทธิ์ของอาวุธและเทคโนโลยีสำคัญๆของโลกนี้ไว้มากมาย อีกทั้งยังสนับสนุนคนเก่งที่มีหัวธุรกิจด้วยการให้ทุนเปิดบริษัท ไม่เหมือน Harvard ที่ Steve Jobs กับ Mark Zuckerberg ต้องดร็อปไปเสี่ยงดวงเอาเอง แต่เดี๋ยวนี้ Harvard ก็เริ่มสนับสนุนมากขึ้น

Infinite Corridor

การเชื่อมหลายๆ อาคารเข้าด้วยกันผ่านทางเดินเดียวที่ยาวโคตร เพราะพอหน้าหนาวนักศึกษาจะได้เดินข้างในโดยที่ไม่แข็งตายซะก่อน เดินตาม Infinite corridor เห็นอุปกรณ์แลปแล้วตกใจ ล้ำมาก สมกับเป็น MIT จริงๆ

เดินไปเรียก Lyft เลยบังเอิญเจออนุสรณ์ของตำรวจที่ถูกฆ่าในเหตุการณ์วางระเบิดที่ Boston Marathon โดยผู้ร้ายพยายามขโมยปืนจากตำรวจนายนั้น

EP หน้าเราจะขับรถมุ่งหน้าขึ้นเหนือไป Acadia National Park ที่อยู่ในรัฐ Maine แล้วเจอกันจ้าา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*