Kellog Club Acitivites กิจกรรมดีๆกับการกล้าที่จะเป็นตัวเอง

Post ที่แล้วเขียนเกี่ยวกับ Social life ที่ Kellogg วันนี้ขอเขียนเกี่ยวกับการทำกิจกรรมชมรมหรือ club ต่างๆกันบ้าง (เมื่อไหร่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องเรียนเนี่ย ตกลงไม่ได้มาเรียนใช่ไหม ตอบ!)

ท้าวความกันก่อนว่าที่ MBA ทุกที่จะมีชมรมที่ดำเนินการทุกอย่างโดยนักเรียนหรือเรียนว่า student-run club โดยที่ club เหล่านี้มีหลายประเภท ตั้งแต่ที่เกี่ยวกับ industry/อาชีพ เช่น Consulting club, Technology club, family business club เกี่ยวกับเชื้อชาติต่างๆ เช่น Southest Asia Club, Black Management Association, Hispanic Management Association เกี่ยวกับกีฬา เช่น Tennis, Golf, Ski & Snowboard เกี่ยวกับ gender เช่น Women Management Association, Pride @ Kellogg (LGBTQA) และกลุ่ม entertainment, improvement ต่างๆ เช่น Cork & Screw (ชมรมกินไวน์) Improv, Public Speaking เป็นต้น ที่บอกว่าทั้งหมดดำเนินการโดยนักเรียนนี่คือแบบจริงจัง มันจะไม่เหมือนตอนปอตรีหรือมัธยมที่จะมีอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยว หลักๆเพื่อให้ได้ฝึก leadership กัน โดยการ lead เพื่อนๆด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนก็เลิศกันมาทั้งนั้น แต่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี

แต่ละ club ก็จะจัดกิจกรรม โดยบางกิจกรรม เราไม่ต้องเป็นสมาชิกก็สามารถเข้าร่วมได้

ตารางกิจกรรมของแต่ละ club ที่เราสามารถไป sign up ได้

แต่ก่อนฉันก็เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งทั้งเรียนและตอนทำงาน แต่ส่วนใหญ่ทำกิจกรรมหรืออยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างซีเรียส เช่น เป็นประธานนักเรียน ประธานชมรมกีฬา ผู้นำด้านวิชาการ โตมาก็ไปเป็นตัวแทนพนักงานประชุมกับผู้บริหารเรื่องเครียดๆ คือดูมีอำนาจ มีความสามารถ เป็นภาพลักษณ์ที่คนในสังคมคาดหวังให้มันเป็น แต่มันน่าเบื่อมาก มาถึง MBA ก็ตั้งใจว่า อะไรที่มันซีเรียสเราจะไม่ทำ ไม่มีใครรู้จักเราอยู่แล้ว เลยอยากใช้ 2 ปีนี้ในการ trial & error explore ตัวเองในมิติใหม่ๆโดยไม่ต้องติดกับกรอบสังคมใดๆทั้งสิ้น

จากที่เกริ่นๆไปใน post ที่แล้วว่าจริงๆมีปัญหาเรื่อง ความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ กับ self-acceptance ทั้ง inside (การเข้าสังคม likeablity) and outside (รูปร่างหน้าตา) ก็อยากถือโอกาสจะแก้ไขตรงนี้ด้วย

K-Band Audition

ถือว่าเป็น one of the most memorable moments ของการมาเรียน MBA เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ชอบร้องเพลง (ไม่ได้เพราะอะไรแต่ถือว่าตรงคีย์) แล้วก็อยากลองร้องเพลงในวงดนตรีดูซักครั้งแต่ไม่เคยมีความกล้า เลยตัดสินใจไป audition เข้าวงของ Kellogg ในใจคิดว่าสู้เค้าไม่ได้อยู่แล้ว แค่อยากลองดู

ที่คิดคิดมีคณะกรรมการที่เป็นสมาชิกวงมาดูเต็มที่ 10-15 คน แต่เอาเข้าจริงคือจัดที่ผับ เพื่อนมาดูไม่เยอะมากประมาณ 300 คนเศษ (คือเบียดกันข้างล่าง เกาะระเบียงดู แบบคอนเสิร์ตเลยอ่ะ) ตอนนั้นคือเพิ่งเปิดเรียนมาเดือนเศษๆยังรู้จักคนไม่มาก เลยกลั้นใจ เอาวะ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นพี่ตูนอ่ะ เอาเท้าไปเกี่ยวบนลำโพงแล้วแบบเขย่าหัว เพราะไม่เพราะไม่รู้แล้วเพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง (ในผับเสียงดัง+เพื่อนร้องตาม) เห็นไกลๆคิดว่าร้องเพลงร็อก เปล่า Shut up and dance with me 

ตอนนั้นไม่ค่อยมีพร็อพก็ไปยืมวิกเพื่อนมาใส่ ทำเข้าไปได้

ที่ประทับใจคือเพื่อนที่ audition ด้วยแทบทั้งหมดเป็นคนอเมริกันที่มีเพื่อนเป็นอเมริกันค่อนข้างเยอะ เพื่อนก็มาให้กำลังใจตะโกนชื่อ คือเรามันต่างชาติใช่ป้ะ ก็ทำใจไว้แล้วว่าต้องเก้อแน่ๆ รีบๆร้องรีบๆจบไม่มีคนจำได้หรอก แต่เพื่อนใน section ที่เรียนด้วยกันมาแค่ 1 เดือนก็ช่วยกันตะโกนชื่อฉันขึ้นมาแข่ง แบบซึ้งมาก เพราะลงจากเวทีมาจะไปเปลี่ยนชุดก็มีคนเข้ามายินดีและบอกว่า you have good stage present ตั้งหลายคน (สังเกตว่าไม่ได้ชมว่าร้องเพราะ 555) สรุปคือไม่ผ่าน (เพราะปีนั้นไม่รับนักร้อง + อาจจะร้องห่วยด้วย) ส่วนปีนี้ก็ไม่มีเวลาไป audition ใหม่ แต่เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจอันดับต้นๆเลยทีเดียว

Asian Management Association (Social Team)

เนื่องจากปีแรกของการเรียน MBA ยุ่งอยู่กับการปรับตัวเรื่องเรียนและหางานเลยไม่ได้มีเวลาทำ club เท่าไหร่ ปีที่สองเลยจัดเต็มอยู่ไป 3 club ซึ่ง club แรกเอาจริงๆคือ เพื่อนที่รู้จักไปเป็นประธานชมรม เลยถูกชวน (กึ่งบังคับ) ให้ไปเป็น club executive ด้วยความขี้เกียจก็พยายามปฏิเสธว่าทำไม่ได้หรอก มันบอกว่าอย่ามา bullshit แล้วให้เลือกว่าจะอยู่ทีมไหน (เอิ่ม) และด้วยปณิธานอันแรงกล้าว่ากุจะไม่ทำอะไรซีเรียสอีกแล้วก็เลยเลือกอยู่ Social Team กะทำขำๆ ช่างไม่รู้อะไรซะแล้ว

AMA Social Team

วัน Kick-off เพิ่งมารู้ว่า club นี้โฟกัสไปความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ Asian American (แล้วเอากุมาเป็น executive เพื่อออออ) โดยการจัด social activities (แล้วกุมาอยู่ Social Team อี้กกกกกกกกกกกก) คืองานเข้า executive คือตอนนั้นฉันไม่มีเพื่อนในวง Asian American มากนัก ไม่รู้จักใครใน club เลย แต่ละคนคือทำงานด้วยกันมาแล้วตอนปีหนึ่งแล้วกระเถิบขึ้นมา lead ตอนปีสอง เหงื่อตกเลย 

งานหนักกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ทั้งวางแผนจัดกิจกรรม หาสถานที่ ซื้อของ ในงานก็ต้อง entertain ทุกคนตลอดเวลา energy ต้องสูงอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ได้คือคนรู้จักเยอะมากและได้รับเชิญไปในงาน party ที่ไม่เกี่ยวกับ club (เพื่อ entertain ทุกคน) อยู่เสมอ ฝึกทักษะเรื่องการเข้าสังคมไปในตัว

กิจกรรม AMA Kick Off เพื่อแนะนำ club กับสมาชิกใหม่

กิจกรรม virtual AMA Game Night

Groupwerk (Kellogg Dance Team)

แต่ก่อนตอนเด็กๆชอบโดนเพื่อนล้อหรือผู้ใหญ่ว่าว่าอ้วน ตัวใหญ่ (เอาจริงก็ไม่เคยผอมหรือตัวเล็กแหละ) เลยค่อนข้างฝังใจเรื่องรูปร่าง หน้าตา ไม่ค่อยอยากซื้อเสื้อใส่ เพราะลองยังไงก็ดูตัวใหญ่ ไม่กล้าว่ายน้ำเพราะต้องไม่อยากใส่ชุดว่ายน้ำ อยากลองเต้นก็ไม่เคยกล้าเพราะคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นต้องมองว่าเหมือนพะยูนเกยตื้นแน่ๆ

พอมาอยู่อเมริกา จากที่ปกติต้องใส่เสื้อไซส์ L หรือ XL ตลอด กลายเป็นไซส์ M สั่ง Amazon มายังไงก็พอดี ความหลากหลายของคนที่นี่มีทั้งคนดำ ตัวสูง (ฉันยังถือเป็นผู้หญิงสูง แต่ผู้ชายที่นี่สูงกว่ามาก) คนอวบ ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ฝรั่ง อินเดีย เอเชีย ดูแตกต่างจนนิยามไม่ได้ว่าความสวยคือแบบไหน หรือแม้จะนิยามได้ แต่คนเหล่านั้นก็มั่นใจในตัวเอง สวยในแบบของตัวเอง ที่สำคัญคือ personality และความสามารถที่มาควบคู่กับความสวย 

ฉันเสียดายมากๆที่ปีแรกไม่กล้าเข้า club นี้ เพราะคิดว่าตัวเองมีดีไม่พอ แต่พอเห็นการแสดงของเค้า เห็นเพื่อนบางคนที่ถ้าอยู่เมืองไทยคือโดน judge แน่ๆ แต่เค้ามีความกล้า มีความมั่นใจ แล้วก็คิดว่าทำไมฉันจะทำมันไม่ได้ ปีสองเลยลองไป audition แล้วก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มได้จริงๆค่ะ 

กลุ่มที่เต้นเพลง Whistle ด้วยกัน

อาจจะไม่ได้ถึงขนาดเต้นเก่งเต้นดี แค่ได้ทำสิ่งที่คิดมาตลอดว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่มีความกล้าที่จะทำก็คุ้มกับเวลาที่เสียไปแล้ว ถึงตอนนี้ ฉันกล้าที่จะใส่เสื้อแขนกุด กล้าใส่ชุดว่ายน้ำและสามารถไปดำน้ำจนได้ license มาด้วย

Special K! (Kellogg Musical Show Club)

เป็น club ที่ตั้งใจว่าอยากจะเข้าให้ได้ เพราะอยากลองแสดงละครเพลง + อยากฝึกเล่นมุขเป็นภาษาอังกฤษ ฉันคิดว่า joke/humor คือ the highest communication form ของภาษาหนึ่งๆ เพราะต้องเข้าใจทั้งวัฒนธรรม ใช้ภาษาดี จังหวะได้ ถึงขนาดปีหนึ่งไม่ยอมเข้า club ไหนรอมา audition เข้า club นี้โดยเฉพาะ

Special K! เป็นชมรมละครเวทีแนวคอมมาดี้ โดยเนื้อหาก็จะเป็นมุขตลกเกี่ยวกับ Kellogg MBA life แล้วแต่ Theme ว่าแต่ละปีจะเน้นเรื่องอะไร มีบทละคร (ที่เรียกว่า skit) และเพลงที่นำเพลงต่างๆมาเขียนเนื้อร้องใหม่ ใส่มุขเข้าไป โดยปกติจะขายบัตรจัดการแสดงให้เพื่อนๆและคณะอาจารย์ชมทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรก (Fall Show) จะเป็นการนำบทละครปีก่อนมา rerun กับนักแสดงชุดเก่าที่จบออกไปแล้ว โดยมีการ update มุขเล็กๆน้อยๆ ถือเป็นการ marketing club ให้ปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าใหม่สนใจ และมา audition เพื่อแสดงใน Spring Show ซึ่งเป็นการแสดงหลักในแต่ละปี

Fall Show (Tech Team)

ฉันได้ไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เป็นประธานชมรมของ club นี้ โดยเค้าชวนมาช่วย Fall Show เป็น Tech Team (ทีมที่คอย support เรื่องไฟ เสียง การเปลี่ยนฉากบนเวที) โดยตอนนั้นไปช่วยเป็นคนส่อง Spotlight รวมซ้อมกับแสดงจริงก็ดู show จบไป 4 รอบ แต่ด้วยความที่ภาษาไม่แข็ง ก็ยังมึนๆก็มุขแล้วก็เนื้อหาบางอย่างจนเริ่มกังวลว่าเราจะทำได้หรอวะเนี่ย

Tech Team กับหน้าที่ Spotlight

Audition (Cast)

เพิ่งมารู้ว่าการ audition เข้ามาเป็นนักแสดงหรือ cast ไม่ใช่หมูๆ เพราะจะแสดงได้ต้องประกอบไปด้วย talent สามประการนั่นคือ singing dancing และ acting ถ้าพูดกันตามจริง นักแสดงทั้งหมดที่ผ่านเข้ามา มีไม่มากที่จะเชี่ยวชาญทั้ง 3 ด้าน อาจจะเชี่ยวชาญด้านหนึ่งสุดโต่งไปเลย (แต่ตอนนั้นไม่รู้ไง นึกว่าต้องทำให้ได้หมด) โดยในใบสมัครเค้าจะให้ rate ความสามารถตัวเอง ฉันก็ใส่ว่า singing > dancing > acting คือทำได้แค่ร้องเพลง (ให้ตรงคีย์) อ่ะ

ก่อนวัน audition ก็จะมี dance workshop สอนเต้นหนึ่งเพลง ให้เลือกเพลงที่คิดว่าตัวเองร้องดีและซ้อมมา ส่วน acting นั่นไปฟาดกันตอน audition จริง

เห็นคนมา audition ด้วยแล้วเครียด เพิ่งรู้ว่าฝรั่งเค้ามี musical show club ให้เข้ากันตั้งแต่ high school แต่ละคนคืออย่างเทพจนไม่รู้ว่ามันมา MBA กันทำไม ส่วนใหญ่มีแต่เพื่อนอเมริกันทั้งนั้น internation หรือคนเอเชียน้อยมาก เข้าใจแหละว่าบ้านเราไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กแสดงออกเป็นงานอดิเรกอย่างบ้านเค้า

Audition เสร็จเครียดไป 1 สัปดาห์ ก่อนผลจะออกมาว่า ผ่านนะค้า ขอเชิญเข้าสู่การ explore ตัวเองในมิติใหม่อย่างเป็นทางการ

Spring Show

เข้าสู่ช่วงซ้อมก่อนแสดงจริง club นี้ถึงเป็นแค่นักแสดงก็ต้อง dedicate กันสุดๆ ซ้อมที 10-15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ วันเสาร์จะเมา แฮงค์หนักขนาดไหน วันอาทิตย์ก็ต้องตื่นแต่เช้าไปซ้อมที่โรงเรียน แต่ก็สนุกและได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจริงๆ อย่างเช่นซ้อมเพลงก็จะมีการแบ่ง part เสียง (Soprano, Alto, Tenor, Bare Tone) ฉันอยู่ Seprano1 คือกรี๊ดอีกนิดเดียวแก้วแตกได้ ซ้อมเต้น ซ้อม acting โดยที่เราจะรู้เรื่องราวแค่ฉากที่ตัวเองมีบทอยู่ แต่ไม่รู้ทั้งเรื่อง ถือเป็น tradition หนึ่งของ Special K! ที่จะไม่เฉลยต่อนักแสดงจนกระทั่งใกล้วันจริง

วงดนตรีก็ต้องซ้อมเหมือนกัน มีคอนดักเตอร์มานำแบบเป็นเรื่องเป็นราวมาก

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งเดือนมีนาคม COVID มาเยือนอเมริกา โรงเรียนเปลี่ยนเป็นเรียน virtual ส่วนการแสดงในโรงละครก็อย่าหวัง ตอนนั้น board member (คนที่เป็นประธานชมรมและ director ด้านต่างๆ เช่น vocal director, dance director) เครียดกันใหญ่ จนกระทั่งตัดสินใจเปลี่ยนจากแสดงบนเวทีมาแสดงใน zoom ทำให้มีนักแสดง drop out ไป 4 คน (จาก 24) เพราะอยากได้ประสบการณ์การแสดงบนเวทีมากกว่า ส่วนฉันยังยืนหยัดต่อไปและตัดสินใจซื้อไมโครโฟนและขาตั้งกล้อง เพื่อร้องเพลงและถ่ายทำมิวสิกวีดีโอ 

ต้องอัดเสียงร้องเข้าไปใน software เพื่อเอาไปประสานเสียงกับคนอื่น

เป็นตัวแทนไปออกรายการตอนเช้าของ Kellogg เพื่อเชิญชวนเพื่อนมาดู show

Show ส่วนใหญ่จะเป็นการอัดเอาไว้แล้วมีบางฉากที่แสดงสดโดยดันมาโป๊ะที่ฉากที่ฉันแสดง (ทำมายยยย) วันจริงเลยอดไป watch party กับเพื่อน ต้องมานั่งเครียดกลัวเน็ตหลุด ลืมบท และอะไรก็ตามที่จะผิดพลาดได้อีกสารพัด

ใช้ zoom ถ่ายพวกมิวสิควีดีโอ

live skit ที่ทั้งกลัวอินเตอร์เน็ตหลุดและกลัวลืมบท

แต่ก็ออกมาดีนะ มีคนเข้าไปดูตั้ง 4,000 view เผื่อสนใจเข้าไปดูกันได้ค่ะ

สมัครเป็น Board Member

ใน Show ที่ผ่านมา ฉันมีความเซ็งและไปบ่นกับประธานชมรมว่าฉันทุ่มเทเต็มที่ มีการซ้อมมาก่อน ทำพร็อพเพิ่มเติมเอง มาซ้อมตรงเวลาและไม่เคยบ่นอะไรเลย (คนอื่นคือทั้งบ่นทันเลท ไม่ได้เตรียมตัวให้ดี) แต่การแบ่งบทหรือ shine time ไม่เท่าเทียม จะเป็น board member หรือคนอเมริกันที่ได้บทหรือได้ร้องเพลงซะเยอะ ความรู้สึกตอนนั้นอารมณ์ว่า หรือเราไม่มีความสามารถพอวะ ประธานชมรมเลยส่งไปคุยกับ Creative Director (คนเขียนบท/คนเพลง/ผู้กำกับ) ก็ได้ความว่า ที่ไม่ให้พูดเยอะเพราะอาจจะออกเสียงไม่ชัด และเค้ามองว่าฉันเด่นเรื่อง physical acting พอย้ายมาเป็น zoom เลยไม่ได้ใช้จุดเด่นตรงนั้น ช่วงนั้นมีการเปิดสมัคร board member ชุดใหม่ ซึ่งฉันที่กำลังเซ็งอยู่เลยตัดสินใจไม่สมัคร

พอรู้ว่าฉันไม่สมัคร เพื่อน international ที่เป็นนักแสดงด้วยกันก็มาหาถึงห้อง ถามว่าทำไมรู้สึกเซ็ง ฉันก็บอกไปว่าถ้าฉันเป็นคนเขียนบท จะใส่ใจเรื่อง shine time allocation ให้มากกว่านี้ มีมุขตลกและตัวละครให้ครอบคลุม international student และ minority group ต่างๆให้มากกว่านี้ ไม่ใช่โฟกัสแค่ American culture เพื่อนบอกให้ลองคิดดูดีๆ ไม่ใช่ว่าอยากทำให้ club นี้ดีขึ้นหรอ แล้วจะไม่เสียใจใช่ไหมที่ทิ้งโอกาสนี้ไป ครุ่นคิดอยู่ค่อนคืน คำตอบคือ เสียใจ

วันสุดท้ายของการรับสมัคร ฉันได้แต่จ้องหน้าคอมแล้วคิดว่าจะสมัครตำแหน่งไหนดี มีรุ่นพี่บอกว่า ฉันเหมาะกับ Marketing Director อาจเป็นเพราะงานไม่หนักมาก ภาษาก็ไม่น่าจะมีปัญหา เอา template เก่าๆมาใช้ได้ หรืออีกทางคือ Executive Director หรือประธานชมรม ใช้ skill การวางแผน organize งานที่มีอยู่แล้วก็น่าจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ใน board ได้มากกว่า แต่งานก็น่าเบื่อเหมือนเดิมไหม ใจฉันอยากเป็น Creative Director มากกว่า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แทบสำคัญและงานหนักที่สุดใน show ก็ว่าได้ ทำตั้งแต่คิด theme คิดพล็อตเรื่อง เขียนบทละคร ใส่มุข เขียนเนื้อเพลง แต่ติดที่ฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ใช้ภาษาอังกฤษจริงๆจังๆได้แค่ปีเดียว ไม่มั่นใจว่าจะเขียนมุขได้สูงส่งพอให้ฝรั่งขำได้หรือเปล่า ช่างมัน สมัครอย่างที่อยากทำ ว่าแล้วก็เขียนตัวอย่างบทละคร ตัวอย่างเพลง ร้องอัด ส่งใบสมัครไปในที่สุด

Special K! Board Member (Musical Revue 42)

Creative Director

ด้วยโชคช่วย (หรือไม่มีคนสมัคร) หรืออะไรก็แล้วแต่ ในที่สุดฉันก็ได้อาจเอื้อมเป็น Creative Director จนได้ ทีมฉันมีกัน 3 คน เป็นอเมริกันแท้ๆไปหนึ่ง อินเดียที่ Americanized แล้วอีกหนึ่ง และก็ฉัน International ที่แท้ทรู (ถ้าวัดกันทั้ง board ฉันนี่พูดภาษาแบบงงสุด) ดีใจมากแต่อีกแง่ก็คือกลัวมากเช่นกันว่าจะทำไม่ได้ มาเจอกับทีมวันแรกก็พูดเรื่อง expectation จุดแข็งจุดอ่อนกันเลย ทำงานมา 4-5 เดือน ถึงได้รู้ว่าการทำงาน Creative แบบนี้ ทักษะการ ‘ฟัง’ สำคัญที่สุด เพราะแต่ละ joke แต่ละ character ที่ได้มาคือ bounce idea กันไปมา บางสัปดาห์เจอกันมากกว่า 10 ชั่วโมง โชคดีที่ทีมทำงานเข้าขากันดีมาก รอดไป

ทีม Creative Directors

งานที่ทำก็มีตั้งแต่จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น idea workshop (ให้เพื่อน Kellogg สามารถให้ไอเดียหรือบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต MBA เพื่อเราเอาไปเขียน joke) 

Special K! Idea Workshop

Special K! Board Retreat – Idea Session

พอดีว่าฉันมีเพื่อนสนิทเป็นทั้งประธานชมรม Consulting และ Technology Club เลยจับมือกันทำ digital short (หนังสั้น) ใน theme presidential debate (ตอนนั้น debate ระหว่าง Trump กับ Biden กำลังดัง) ซึ่งเป็นการกำกับการแสดง (ผ่าน zoom) ของฉันครั้งแรกเลยก็ว่าได้

Special K! Digital Shorts: Presidential Debate (KCC vs KTECH)

สำหรับตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างเขียนบทละคร เขียนเพลง สำหรับ Spring Show ในเดือนเมษายน ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จก่อนที่ Director ด้านอื่นๆ จะเอาไปทำงานต่อ เช่น Vocal Director เอาเพลงไปคิดว่าจะประสานเสียงยังไง Band Director เอาไปแกะทำนองของแต่ละเครื่องดนตรี Dance Director เอาไปคิดท่าเต้น Production Director เอาไปคิดว่าจะถ่ายทำยังไง ระหว่าง quarantine นี่นอกจากเขียนบล็อกนี่ก็เขียนบทละครกับเขียนเพลงอยู่ทั้งวันนี่แหละ (ตกลงว่ามาเรียน MBA จริงไหม)

Skit & Song Writing – Work In Process

Lessons Learnt

  • ลองทำอะไรใหม่ๆ explore ความสามารถของตัวเอง หรือที่เราพูดกันติดปากว่า out of comfort zone นั่นแหละ ยอมรับว่ามันมีความกลัว บางที่ก็ท้อใจ แต่พอทำมันได้แล้วแบบภูมิใจมากๆจริงๆนะ เช่น ตอนที่ฉันเขียนบทละครฉากแรกในชีวิตเสร็จ วันนั้นแบบ เห้ย ทำได้ว่ะ แล้วมันจะเป็นแรงผลักดันให้เราทำอะไรยิ่งใหญ่ขึ้น ท้าทายขึ้น เป็นการสร้างกำลังใจสร้างความมั่นใจเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง
  • กล้าที่จะเป็นตัวเอง ไม่ใช่เป็นคนที่กรอบสังคมกำหนด พอได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเลยเห็นความแตกต่างระหว่างสังคมที่นี่กับสังคมคนเอเชียมาก ตรงที่สังคมประเทศไทยและประเทศเอเชียส่วนใหญ่จะค่อนข้างเน้นรูปลักษณ์ภายนอก judge กันที่รูปร่างหน้าตา มีกรอบสังคม คนนินทาและชอบเล่นพวกพ้องมากกว่า ไม่ได้บอกว่าฝรั่งไม่เป็น แต่เป็นน้อยกว่าเรามาก (อย่างน้อยคือเทียบในดงเพื่อน MBA ที่ฉันมี) เช่น ฉันเป็นคนไม่ได้ชอบถ่ายรูป selfie มากแต่ก็มีประปรายแบบไปกันอาทิตย์นี้ฉันถ่ายไป 4 รูป เพื่อนฝรั่งถามทำไมชอบถ่าย selfie หรือสังเกตแนวรูปที่ถ่ายและลง ig ของเพื่อนคือ candid จริง ส่วนใหญ่เป็นรูปที่เน้น emotion แบบ real บอกเล่าเรื่องราวชีวิตมากกว่าไปถ่ายรูปตามคาเฟ่น่ารักๆเหมือนบ้านเรา เรื่องแต่งหน้าอีก คือฉันก็ไม่ได้เป็นคนแต่งหน้าเยอะ ไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จทั้งหน้าแล้ว เพื่อนก็ถาม ทำไมชอบแต่งหน้า บทสนทนาเวลาไป hang out กับเพื่อนผู้หญิง (ที่เรียกว่า Girls Night Out) ก็จะเป็นอารมณ์ club ที่ทำ การเป็นผู้นำที่ดี การเหลื่อมล้ำทางสังคม อะไรพวกนี้ แทบไม่มีที่จะนินทากัน นอกเรื่องไปเยอะ ประเด็นฉันคือ เสียดายที่ผ่านมา 30 ปีเพิ่งจะมาคิดได้ เสียดายที่ฉันใช้ชีวิตตามที่สังคมอยากให้เป็น เช่น เลือกเป็นประธานชมรม ทั้งที่ตัวฉันก็ไม่ชอบเลยแต่มันเท่สุด หรือรู้สึก insecure ไม่กล้าทำในสิ่งที่อยากทำอยากเป็นเพราะกลัวโดนวิพากษ์วิจารณ์ มันก็ต้องมีอยู่แล้วคนนินทา แต่คุ้มหรอที่ต้องไปแคร์ความคิดหรือคำพูดเหล่านั้น ของคนที่เค้าไม่ได้หวังดีกับเราอยู่แล้ว (ถึงได้นินทาไงงง) 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*