Kellogg MBA Social Life กับความยากลำบากในการ Blend In

หลังจากสมบุกสมบันอยู่อเมริกานานถึง 17 เดือน ดูเวลาตกฟากสัมพันธ์กับการเคลื่อนของดวงดาว (นี่ก็เพ้อเจ้อ) ก็ได้ฤกษ์กลับมาเยี่ยมบ้านซักที ช่วงนี้โดนกักตัวอยู่ใน State Quarantine เหงามากเลยตัดสินใจนั่งรำพึงรำพัน เอ้ย reflect ว่าเสียเงินไปเรียนเมืองนอกอยู่ปีกว่าๆได้อะไรกลับมาบ้าง

ขอพื้นที่ 2 ย่อหน้าในการปูเรื่อง ความจริงแล้วเป็นคนที่มี confidence กับ self-acceptance ต่ำมากโดยเฉพาะเรื่องเพื่อน ตอนเรียนมัธยมก็โดนเพื่อนจับกลุ่มกันแบน คนอื่นอาจจะสนุกที่สุดในชีวิตแต่สำหรับฉันถือเป็นเสมือนยุคมืดของการเข้าสังคมเลยก็ว่าได้ ตอนทำงานก่อนมาเรียน MBA ก็โดนเพื่อนร่วมงานในทีมพากันแบนอีกรอบ เลยเป็นตราบาปติดตัวว่า คิดวนไปวนมาว่ากุมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฟะ ถึงได้มีปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะพยายามปรับปรุงตัวเองแค่ไหนก็ตาม โอเค จบการดราม่า

หลักๆที่ตัดสินใจมาเรียนที่ Kellogg เพราะว่าอยากพัฒนา social skills ของตัวเอง ภาษาชาวบ้านคือ เข้าสังคมยังไงไม่ให้คนเกลียด อันเป็นที่มาของ post นี้ ซึ่งเขียนในวันที่แผลใจหายสนิทแถมมาด้วยความมั่นใจอีกหนึ่งกระบุง (เบาได้เบาลู้กกก)

Blend In Difficulty Level

ของดีของการมาเรียน MBA ที่อเมริกาก็คือ จะทำให้เจอคนมากหน้าหลายตาหลายเผ่าพันธ์จากทุกมุมโลก แต่ก็ทำให้คนไทยที่ไม่เคยออกไปอยู่นอกประเทศเลยอย่างฉันเกิด culture shock, lauguage shock ไปตามๆกัน ตอนไปดูโรงเรียนที่ Duke University (อ่านได้ที่นี่) ก็แทบจะไม่มีคนอเมริกันมาคุยมายุ่งด้วย เลยมีความกลัวเพื่อนต่างชาติไปโดยปริยาย โถถัง ฉันแบ่งเพื่อนเป็นกลุ่มๆแล้วจัดลำดับความยากในการ blend in (ศัพท์ฉันเอง ความหมายอารมณ์เข้าไปผสมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อน) ดังนี้ อันนี้เรียงจากง่ายไปยากนะ

  • Thai เพื่อนคนไทย ไปอยู่ที่นั่นเหมือนโดนบังคับให้เป็นกลุ่มที่สนิทที่สุดโดยอัตโนมัติ พูดภาษาเดียวกัน มีความทุลักทุเลในการมาอยู่นอกประเทศเหมือนกัน ไปๆมาๆคบกันเหมือนเป็นครอบครัว

    เพื่อนคนไทยที่ Kellogg สนิทกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

  • SEA: South East Asian เพื่อนกลุ่มอาเซียน วัฒนธรรมใกล้เคียงกันมาก ถึงจะพูดคนละภาษาแต่แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เล่นมุขอะไรเพื่อนก็เข้าใจช่วยกันขำ 
  • International Asian เพื่อนต่างชาติชาวเอเชีย เชื่อมต่อกันด้วยความเหมือนทางกายภาพ (หน้ากลมๆ ตาเล็กๆ ยิ้มแป้นๆ) การมีข้าวเป็นส่วนประกอบหนึ่งในมื้ออาหาร และความ struggle ในการพูดภาษาอังกฤษให้เจ้าของภาษารู้เรื่อง
  • Asian American เพื่อนอเมริกันชาวเอเชีย ยิ่งเป็นกลุ่มที่พ่อแม่เพิ่งอพยพมา ที่บ้านพูดภาษาถิ่นอยู่เงี้ย มันยังตัดอาหารเอเชียไม่ขาด กินเบอร์เกอร์ทุกวันยังไม่ได้ ผูกพันกันด้วยหน้าตาด้วยแหละ รู้ ถ้าจะเริ่มมีเพื่อนชาวอเมริกัน ขอแนะนำกลุ่มนี้ก่อนเลย เฮฮาปาจิงโกะมาก
  • International non-Asian เพื่อนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวเอเชีย โซนยุโรป อเมริกาใต้ เอาจริงคุยไม่ยากหรอก แค่ไม่มีอะไรให้คุย คือ culture ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพลง อาหาร อากาศ กิจกรรม แม่ม ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ยังดีที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเหมือนกัน พูดแบบ slow life ค่อยๆทำความเข้าใจกันไปได้
  • American Minority เพื่อนอเมริกันที่ไม่ใช่คนขาว เช่น Hispanic คนดำ เป็นต้น ปัญหาหลักคือภาษา คือพูดปะกิตเร็วมาก ปัญหาหนักกว่านั้นคือ culture คือเคยได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ที่มีแต่คนดำอ่ะ แบบไปไม่เป็นเลย 
  • American Majority เพื่อนอเมริกาคนขาว อันนี้ยาก ปัญหาเดิมๆจากกลุ่ม Minority เพิ่มเติมคือพวกนี้มีพวกมาก ไม่มีความจำเป็นต้องกระเสือกกระสนออกจาก social circle มารู้จักต่างด้าวอย่างเรา ดังนั้นหน้าที่เราคือต้องกระเสือกกระสนไปหาเค้าเองเนอะ

MBA Social Life Evolution

ก่อนจะเล่าพัฒนาการในการเข้าสังคมของฉัน ขอเกริ่นด้วยกลุ่มเพื่อนทั้งหมดที่ฉันมีก่อน

  • Thai กลุ่มคนไทยตามที่เรียนให้ทราบไปเบื้องต้น
  • SEA อันนี้จริงๆมี Club ให้ไปเข้าร่วมด้วยนะ แต่มีเพื่อนเป็นประธานชมรมไง เลยได้อภิสิทธิ์ตีตั๋วเข้างานปาร์ตี้แบบเอ๊กซ์คลูซีฟสุดๆ
  • ACE เพื่อนต่างชาติที่มาปรับพื้นฐานด้วยกัน (มีหลายชาติทั่วโลก) ไม่ได้สนิทแบบเป็นกลุ่มก้อนเหมือนกลุ่มอื่นแต่สนิทกันเป็นคนๆไป อ่านประสบการณ์ไป ACE ได้ที่นี่ 
  • KWEST เพื่อนที่ไปทริปที่อลาสก้าด้วยกันก่อนเปิดเรียน ตอนแรกก็สนิทกันแต่เนื่องจาก KWEST ฉันประกอบด้วยคน introvert เป็นส่วนใหญ่เลยไม่ได้เจอหน้ากันตามงานปาร์ตี้ เจอ COVID เข้าไปด้วย จำศีลหนีหนาวกันเลยทีเดียว กลุ่มนี้มีแต่ international ส่วนใหญ่เพราะไปอลาสก้า คนอเมริกันเค้าไม่ไปกันนะจ้ะ อ่านประสบการณ์ไป KWEST ได้ที่นี่

    เพื่อน KWEST เจอกันในงานแบบ in-person งานสุดท้ายก่อน COVID

  • Section เพื่อนในเซคชั่น หาเพื่อนอเมริกันก็ที่นี่แหละจ้า

    Buckets Section สนิทกันแบบงงๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้เป็นคนอเมริกันหมดเลย (ยกเว้นฉันไว้คน ไทยแท้เด้อ)

  • Club ที่ฉันเข้าไปมีตำแหน่งต้อง involve เยอะๆก็มี Special K! ชมรมทำละครเวทีแนวคอมมาดี้ อันนี้บันเทิงมาก มีแต่เพื่อนผิวขาวที่เพ้อ (เป็นเพลง) แล้วก็ AMA: Asian Association Management โดนหลอกเข้าไปเป็น Social Team ทำไปซักพักเพิ่งรู้ว่าชมรมมันโฟกัส Asian American (แล้ว recruit กุไปเพื่อ!)

    เพื่อน AMA ชาว Asian American แต่ละคนตาหยีเชียว

  • อื่นๆ เช่น เจอกันตามคลาสเรียน FoF: Friends of Friends เพื่อนของเพื่อน (ศัพท์ฉันเอง ขอย่อแบบนี้นะ)

    คลาสเรียน PLI (Personal Leadership Insight) สนิทกันที่สุดแล้วคลาสนี้

ต่อไปขอแนะนำวิวัฒนาการ Social Life ของอิฉัน ขอแบ่งเป็น 3 phases (ไม่ใช่การแยกตัวของอะมีบาเนอะ เดี๋ยวเข้าใจผิดกันว่าเป็นชีทเรียนวิชาชีวะ) ปี 1 ช่วง summer แล้วก็ ปี 2 ตอน quarter แรก

ปี 1
แรกๆก็ขาดความมั่นใจเรื่องภาษา เรื่อง Social Skills ไม่กล้าเล่นมุข (พูดธรรมดายังจะไม่รอด) ยังกลัวๆเพื่อนต่างชาติอยู่ ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันดีเลยยิ้มสู้อย่างเดียว วันๆหมดไปกับการเรียนให้รู้เรื่องกับหางานเป็นส่วนใหญ่ ชมรมอะไรก็ไม่ได้ทำ เพื่อนส่วนใหญ่ก็คนไทยด้วยกันนี่แหละ comfort zone สุดๆ แล้วก็เพื่อน ACE เพื่อน KWEST มองย้อนกลับไปก็เสียดาย ตอนนั้นไม่มี COVID ด้วย make new friends ได้ง่ายกว่าช่วงนี้เยอะเลย

Summer
จริงๆก็ต้องบอกว่าเพราะ COVID ที่บีบให้ฉันออกจาก comfort zone ประเด็นมันคือว่า พอ COVID ระบาด โรงเรียนเปลี่ยนเป็นเรียน virtual อเมริกาควบคุมโรคไม่อยู่ คนตายวันละพัน เพื่อนคนไทยฉันเก็บของกลับบ้านกันหมดเลยจ้า ฉันตอนแรกว่าจะกลับช่วง summer แต่ได้ internship ที่นี่แล้วแอปเปิ้ลไม่ยอมให้ทำงานนอกอเมริกาด้วย แห้งเหี่ยวอยู่คนเดียวและระลึกขึ้นมาได้ว่า นี่กุไม่มีเพื่อนสนิทที่ไม่ใช่คนไทยเลยหรอฟะ ช่วงนั้นคนก็เก็บตัวกันเพราะกลัวติดโรคด้วย แต่ยังดีที่เพื่อนใน Section คนสองคนทักมาชวนไป hang out พอให้อุ่นใจ ในใจคือไม่ได้ล่ะ เลยเริ่มฝึกทำอาหารแล้ว host dinner อาหารไทยล่อลวงเพื่อน SEA เพื่อนอเมริกัน (ใครอยู่ก็ชวนเค้าหมด) ให้มากินข้าวที่บ้านแล้วเก็บคนล่ะ 10 เหรียญ (ไม่ได้กำไรอะไรหรอกเพราะวัตถุดิบคือแพงมาก) จากอยู่ไทยทุบกระเทียมยังไม่เป็นจำได้ว่าช่วงนั้นทำอาหารมื้อใหญ่แทบทุกวัน ทำงานประชุมไปก็แอบเคี่ยวแกงมัสมั่นไปด้วย ถึงปัจจุบันทำอาหารให้คำกินไปมากกว่า 100 คนแน่นอนได้เพื่อนมาเพียบแบบงงๆ เริ่มสนิทกันมากขึ้น เพื่อนเริ่มชวนไปทริป

หลอกล่อเพื่อนด้วยอาหารพื้นๆนี่แหละ ทอดไข่ดาวด้วยจะได้ดูว่าเยอะ อุอิ 

ทริปแรกที่ไปกับเพื่อนอเมริกันล้วน จำได้ว่าตื่นเต้นและแอบกลัว กิจกรรมอะไรของมันก็ไม่รู้ กระโดดบ่อน้ำ ไปซื้อพลุมาจุด ก่อกองไฟ แม้จะเป็นทริปสั้นๆแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นทำให้มีความกล้าที่จะไปทริปถัดๆไป

ทริปแรกที่ Gelena ซึ่งเป็น farmhouse ของเพื่อน แก๊งนี้ถือว่าสนิทสุดใน Kellogg แล้วถ้าไม่นับคนไทย

จบ summer ก็ไปมา 4 ทริปพอดี ใช้เงินที่ได้มาจาก summer internship นี่แหละ เที่ยว อุอิ

ทริปไป Milwakee กับ FOF

ไป Sheboygan กับเพื่อนชาว Buckets

ปี 2 (fall quarter)
เปิดเทอมแก๊งไทยก็กลับมาบวกน้องปีหนึ่งที่มาร่วมแก๊งทำให้ใหญ่ขึ้นไปอีก แต่ตอนนี้เริ่มซ่า ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาหมด ยิงมุขภาษาอังกฤษ สเน็คๆ ฟิชๆ เฮฮาปาจิงโกะกันไป (ต้องซ้อมก่อนนะ เดี๋ยวจังหวะไม่ได้แล้วไม่ฮา) เพราะรู้จักเพื่อนเยอะขึ้นจากช่วง summer กับทำงานอยู่หลาย club เลยมีทั้ง party ทั้ง dinner ทั้งจัดเองและเพื่อนชวนไป มีทุกวันจนต้องหาวันพัก(ตับ) บางศุกร์ 4 งานชนกันยังมีมาแล้ว ที่ปวดหัวคือต้องเช็คทุก messaging app เพราะเพื่อนอเมริกันจะใช้ sms และเล่น ig เพื่อนไทยใช้ Line และเล่น facebook เพื่อนต่างชาติใช้ Whatsapp เพื่อนที่ไม่สนิทมากใช้ Slack ช่วงนี้โควิดเริ่มระบาดหนักและลามเข้ามาสู่ Kellogg community คือมี breakout ที่ไหนต้องมีอิเจนอยู่ทุกครั้ง (ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมจังหวะดีอย่างงี้) ฉันเป็น first degree contact มา 4 รอบล่ะ second อีกรอบ จนเพื่อนคนไทยส่ายหัวเพราะโดนสั่งกักตัวบ่อยมาก (ถ้าแม่มาอ่านนี่มีโดนด่าอ่ะ) ตรวจโควิดจนจมูกบานไปหมด ก่อนจบก็ได้มีโอกาสไปทริปกับเพื่อนกลุ่มใหม่ extend ไปหาเพื่อนชาวยุโรปและ Latin American อีก 2 ทริป โดยรวมแล้วถือเป็น quarter ที่ประสบความสำเร็จด้าน social มากๆสำหรับฉัน

สกีทริปกับเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติ ไปมาสดๆร้อนๆก่อนกลับไทย เป็นทริปที่สนุกที่สุดทริปหนึ่งในชีวิต Kellogg MBA เลย

Social Activities แบบไหนที่ได้เพื่อน

เผื่อน้องๆที่จะมาเรียน MBA จะเอา idea ไปปรับใช้ อันนี้เป็น list ที่ฉันลองผิดลองถูก บางอันก็เวิร์คบางอันก็ไม่

Amateur

สำหรับคนเพิ่งมา ยังไม่อยากซ่ามาก

  • Kellogg Event กิจกรรมที่โรงเรียนกำหนดเป็น mandatory หรือให้แย่งตั๋วซื้อกันได้ทั้งโรงเรียน คือไม่ต้องรู้จักใครก็มีสิทธิ์ซื้อตั๋ว แต่ช่วง COVID นี่ กิจกรรมแบบนี้สูญหายไปแล้วนะ zoom อย่างเดียวเลยช่วงนี้ T^T
  • Activities with International Friends จัดกิจกรรมกับเพื่อน international ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น small group dinner, quarantine walk ได้กระชับความสัมพันธ์พร้อมฝึกภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องกลัวผิดแกรมม่า 
  • Co-host Thai Dinner for International Friends ถ้ายังทำอาหารไม่เก่งก็ร่วมกับเพื่อนคนไทย host Dinner ให้เพื่อน international ช่วงนี้ก็มุ่งมั่นในการฝึกภาษาหาเรื่องคุยก่อน
  • Lunch with Professor ลงชื่อไปกินข้าวกับอาจารย์ (อาจารย์ 1 vs นักเรียน 10) ได้เจอเพื่อนใหม่แถมยังไม่ต้องมานั่งเครียดหาเรื่องคุยเพราะเดี๋ยวเพื่อนก็ชวนอาจารย์คุยเอง แถมยังได้กินข้าวฟรีรสชาตดีสุดๆ
  • Kellogg Big Party ปาร์ตี้ใหญ่ๆที่ dance อย่างเดียวไม่ต้องพูดคุย เพราะไม่ต้องมีเรื่องภาษามากวนใจให้เสียเส้น ทั้งนี้ควรมีกลุ่มที่เต้นด้วย เช่น KWEST, Section, กลุ่มคนไทย ในขณะที่ไปเต้นกับคนกลุ่มใหม่ๆบ้าง จะได้สนุก ไม่ awkward และรู้จักคนใหม่ได้ไปพร้อมๆกัน (ผ่านการไปเต้นข้างๆ)

    Ski Trip ทริปสกีแบบเน้นปาร์ตี้ non-stop 7 วัน 7 คืนที่แคนาดา

Hard Core

พอผ่านช่วงฝึกหัดมาแล้วก็เตรียมเข้าสู่ระดับ hard core ได้เลย

  • Activities with Almost Friends จัดกิจกรรมกับเพื่อนที่ไม่ค่อยรู้จักมาก แต่มีความเกี่ยวข้องบางประการ เช่น อยู่ section เดียวกันและอพาร์ทเม้นท์เดียวกัน แต่รู้จักแค่ชื่อ เช่น Potluck (เป็นการเอาอาหารมาแลกเปลี่ยนกัน อารมณ์ประมาณ ‘อาหารหม้อนี้มากับโชค’ – ตั้งชื่อไทยได้ลิเกมากค่ะ)
  • Small Talk at the Bar ไปรวมตัวกันที่บาร์และพยายามเรียนรู้การเข้าไปสนทนาแบบ small talk (อารมณ์คุยผิวเผิน networking) ในกลุ่มที่อย่างน้อยมีคนที่เรารู้จักหรือคุ้นๆอยู่ซักคนสองคน ย้ายจากกลุ่มหนึ่งไปอีกกลุ่ม (ด้วยเทคนิคขอไปเข้าห้องน้ำ) – ที่สำคัญมากๆคือต้องมี set ของ topic ที่จะคุยเก็บไว้ในใจบ้าง เช่น อากาศ วิชาที่เรียน นินทาอาจารย์ที่สอน อาหาร
  • Small Group Dinner with Random Friends บางที่ club ต่างๆเค้าก็จะจัด small group dinner ฉันก็ไปลงชื่อและภาวนาว่ามันจะออกมาดี เหอๆ
  • 1:1 Lunch/Coffee Chat ชวนฝรั่งกินข้าวกลางวันด้วยสองต่อสองไปเลย (จริงๆทุก section ก็จะมีการสุ่มจับ coffee chat ให้เจอกันกับคนใน section อยู่แล้ว) ตอนแรกๆไม่ชิน ก็มีแอบเครียด เดี๋ยวก็จะชินไปเองไม่ต้องห่วง
  • Lead Medium-sized Social Activities หาโอกาสจัด social activities ให้ club หรือให้ section เช่น Game Night, White Elephant, Friendsgiving พยายามไปแท็กทีมจัดกับเพื่อนอเมริกาจะได้เรียนรู้ culture ของเค้าไปในตัว

    จัด virtual Buckets Game Night ของ Section

  • Host Thai dinner เคยมีรุ่นพี่บอกว่าทำแล้วเวิร์ค (คนนี้ฝีมือทำอาหารระดับมิชลินสตาร์แต่อินี่ทอดไข่ดาวยังไหม้) รู้งี้ฝึกทำมาจากที่ไทยเลย เป็นคนไทยได้เปรียบเพราะเพื่อนต่างชาติทุกคนชอบอาหารไทยมากกกกกกกกกก เคยไปเมืองไทย(ส่วนใหญ่ไปฮันนีมูนด้วย ทำให้มีความทรงจำดีๆมากมาย) ทำมาม่าทะเลง่อยๆให้เพื่อนกินถึงกับเก็บเอาไปเพ้อ แต่ต้องมีวิทยายุทธในการ lead conversation/activities ที่แก่กล้าซักหน่อย จุดๆนี้อาจจะลองคิดกิจกรรมสนุกๆให้เพื่อนอยากมา เช่น ร้องคาราโอเกะ เล่นบอร์ดเกม drinking game ช่วงที่เพลง WAP ดังๆฉันจะจัดกิจกรรมหัดเต้น WAP ที่ห้องนี่แหละ

    เนื่องจากมีเงินเช่าแค่ห้อง studio ตอน host ก็จะได้แค่ 5-9 คน

    กิจกรรมค้นหาว่าใครเป็นผู้ร้าย ต้องแต่งตัวมาตามบทที่ได้รับ ฉันเล่นเป็นเมียผู้ตายแหละ

  • Hang Out at Friend’s House ถ้าเริ่มสนิทกัน เริ่มมีฝรั่งชวนไป hang out ที่ห้องมัน (ถือว่าประสบความสำเร็จไปอีกก้าว) เช่น Girl’s night out ไปดู Superbowl กับเพื่อน ไปกินอาหารที่เพื่อนทำ สักพักก็จะเริ่มมีก๊วนที่ hang out กันบ่อยๆ

    ชวนกันไปก่อกองไฟ เล่าเรื่องผี หลังบ้านเพื่อน

    ช่วง thanksgiving ที่อเมริกาเพื่อนจะชอบจัด Friendsgiving กัน ปีนี้ไปอยู่ 3 งาน น้ำหนักขึ้นกันเลยทีเดียว

  • Trip ที่สุดแห่ง hard core คือการไปทริปค้างคืนด้วยกันซัก 1 week เริ่มแรกลองไปกับ Asian ก่อนสร้างภูมิคุ้มกัน แล้วค่อยเขยิบความท้าทายเป็น non-Asian/American ยิ่งไม่ค่อยรู้จักกันยิ่งท้าทาย

    ทริปไป US Virgin Island กับกลุ่มเพื่อนชาวสเปน

     

แถมท้าย skill ที่มีติดตัวจะดีมากในการ social: คอแข็ง ทำอาหาร เล่นเกมส์เก่ง (บอร์ดเกม drinking game)

Lessons Learnt

  • ต้อง strong ในสังคม Independent อันนี้รุ่นพี่ที่เค้าจบไปแล้วก็เตือนมาว่ามันจะไม่เหมือนปอตรีที่เรามีกลุ่มเพื่อนของเรา 10 คนไปไหนไปกัน อันนี้แต่ละคนโตๆ บางคนมีลูกมีครอบครัวกันแล้ว กิจกรรมใน MBA ก็มีให้ทำหลากหลาย ความต้องการแต่ละคนไม่เหมือนกัน อเมริกาก็ยิ่งเป็นสังคมแบบ individual ยิ่งแตกต่างยิ่งโดดเด่น (ตรงข้ามกับเอเชียที่เป็นสังคมแบบ collective) social life ก็จะเป็นประมาณว่าสนิทกับคนโน้นบ้าง กลุ่มนี้บ้าง ไม่จำเป็นต้องติดอยู่ด้วยกันตลอดเวลากับกลุ่มๆเดียว ไม่มีมางอนกันไร้สาระถ้าจะไป hang out กับเพื่อนกลุ่มอื่นๆ
  • อย่าด่วนสรุปไปก่อน ให้ assume ไว้ก่อนเลยว่าเป็น cultural difference ตอนแรกๆฉันชอบเข้าใจผิด เนื่องจากเราคนไทยยิ้มง่ายใช่มะ แล้วฉันเวลาคิดภาษาอังกฤษไม่ออกก็ยิ้มสู้ไว้ก่อน เลยกลายเป็นเดินยิ้มทั้งวัน เวลายิ้มให้เพื่อนไม่ยิ้มตอบแบบคืองง กุทำไรผิดฟะ (สรุปคือมันมาจาก New York ไง เค้าไม่ยิ้มให้กัน อิบ้า) บางที่เจอเพื่อนพูดตรงมากจนเราผงะก็ทำใจดีๆไว้ เพราะเอเชียนี่อ้อมค้อม สุภาพชนสุดล่ะ แต่ก็ต้องแบ่งให้ได้ระหว่างพูดตรงกับไม่ให้เกียรติกัน ตอนแรกฉันไม่กล้า speak up หลังๆคือก็สู้อย่างสุภาพไป
  • ไม่ใส่ใจความคิดของคนอื่นมากจนเกินไป อันนี้เป็นข้อพื้นฐานมากๆแต่ดันมาตกผลึกกับปฏิบัติจริงได้เอาตอนนี้ แต่ก่อนฉันเป็นคนชอบ please คนอื่นกับคิดมากว่าคนอื่นจะมองเราว่ายังไง อาการหนักจนกระทั่ง panic เวลาที่ยืนหรือนั่งเฉยๆที่โรงเรียนแล้วไม่มีคนมาคุยด้วย (เพราะคิดว่าคนที่ไม่มีคนอยากคุยด้วยคือไม่มี likability) เอาจริงๆคือทุกคนก็สนใจเรื่องตัวเองกันหมดไม่มีเวลามาคิดเรื่องของเรามากนัก บวกกับว่าย่อมต้องมีคนนินทาเป็นธรรมดา จริงๆคือไม่ได้เปลี่ยนการ interact กับเพื่อนแต่มันสบายใจและมีความสุขขึ้นเยอะ รวมถึงไม่กลัวที่จะ speak up หรือ say no กับสิ่งที่เราไม่อยากทำ เช่น มีเพื่อนมาบังคับให้ฉันจัดงานวันเกิดให้ (คือเค้าเกิดวันเดียวกันกับฉัน) ฉันมาคิดๆแล้วทำไมกุต้องทำด้วยวะ เลยโทรไปบอกว่าต่างคนต่างจัดนะ ถึงจะโดนด่าโดนโกรธแต่ฉันไม่ต้องมานั่งทุกข์กับความเรื่องเยอะและค่าใช้จ่าย คุ้มกว่ากันตั้งเยอะ
  • รู้ว่าเราเข้ากับคนแบบไหนไม่ได้ก็เลี่ยงซะ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ดีหรือเราไม่ดี มันแค่เข้ากันไม่ได้ก็เท่านั้น ที่ Kellogg มีคนให้รู้จักเป็นพัน ดังนั้นเลี่ยงได้ฉันก็เลี่ยง
  • ฟังข่าวเยอะๆ เติมความรู้ให้มากๆ ทริคฉันคือฟัง podcast ตอนทำอาหารจะได้ประหยัดเวลา การทันโลกเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะจะได้มีเรื่องคุยกับเพื่อน ดูเป็นคนมีความรู้ด้วย
  • มั่นใจและกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ถ้าจะทำแค่ข้อเดียวขอให้ทำข้อนี้นะ แต่ก่อนฉันชอบกังวลเรื่องภาษาของตัวเอง กลัวว่าเพื่อนจะรำคาญหรือดูถูกถ้าแกรมม่าผิด ออกเสียงผิด พอเปลี่ยน mindset มองเพื่อนต่างชาติเป็นเหมือนเพื่อนคนไทย เราอยู่เสมอกันเท่านั้นแหละ ไปท้าเพื่อนกินเหล้า ยิงมุข บังคับเพื่อนเล่นเกมส์ สอนเพื่อนเต้นท่าประหลาดๆ (ท่าที่เค้าชอบเต้นกันช่วงสงกรานต์) เป็นตัวของตัวเองทั้งๆที่ skill ภาษาเท่าเดิม จนเพื่อนบอก พอเถอะ พอแล้ว กุมึน

Social Achievements

มาถึงตอนนี้ก็ขอพื้นที่เขียนถึงความสำเร็จเล็กๆของการเข้าสังคมที่ Kellogg ที่ทำให้รู้สึกยอมรับตัวเองได้มากขึ้น กล้ากลับไปคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ในอดีตและหาต้นตอของปัญหา เหมือนเป็นการปลดล็อกความเชื่อมั่นและความสุขของตัวเองที่ตามหามาทั้งชีวิต (เว่อร์ได้อีก แต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ)

  • Most likely to put a smile on your face ช่วงปี 1 เค้ามีการทำสำรวจ most likely ของแต่ละ catagory ฉันก็ติดกับเค้าด้วยนะ ในหมวด ‘คนที่น่าจะทำให้คนยิ้มได้มากที่สุด ตัวลอยไปสามวัน

  • 30th Birthday วันเกิดของฉันอยู่ในช่วง COVID ระบาดหนักพอดี คนก็กลัวติดโรคกันมากๆ ตอนนั้นคือรวมตัวกันนอกอาคารได้ไม่เกิน 50 คน อากาศก็ดันหนาวมากๆ ลงเลขตัวเดียวแล้วเป็นคืนวันจันทร์ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่มีเรียนอังคารเช้า ฉันก็ชวนเพื่อนมาฉลองบนดาดฟ้า คิดว่าไม่น่าจะมาเยอะ

สรุปว่าวันนั้นมากันเกือบ 70 คน ต้องพยายามแบ่งกลุ่มให้ดี คนที่มาไม่ได้ก็ส่งเค้ก ส่งไอศกรีมมาให้ทั้งวัน เพื่อนคนไทยก็ซื้อเค้ก ซื้อของขวัญให้ ถือเป็นวันเกิดที่ดีที่สุดที่ฉันมีมาเลยก็ว่าได้

4 comments

  1. สุดยอดดดดดดดดดด

  2. ยาวมาก แต่ก็ตามมาอ่าน หลายตอนแล้ว ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น
    รักษาสุขภาพ

  3. มะปราง

    อ่านสนุก ได้ความรู้ค่ะ จะติดตามตลอดนะคะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*