US East Coast Road Trip EP4 – Acadia National Park/Chicago

แปะลิ้งค์ให้กดไปดู EP อื่นๆได้ง่ายๆจ้า

EP1 Intro + บินถึง Chicago/Kellogg School of Management

EP2 New York

EP3 Washington DC, Philadephia, Boston

EP4 Acadia National Park/Chicago

ต่อเนื่องจาก EP ที่แล้ว เราขับรถมุ่งหน้าไป Acadia National Park ในรัฐ Maine สโลแกนรัฐอย่างเท่ The Way Life Should Be

ข้างทางเริ่มมีความ country

แวะชมวิว Portland Head Lighthouse ระหว่างทาง แต่ดันไม่รู้ว่าจะจ่ายค่าจอดรถยังไง บัตรเครดิตที่ทำมาด้วยก็ไม่เวิร์ค เลยใช้วิธีฉันขับรถวนในที่จอดรถรอคุณสำลีวิ่งไปถ่ายวิวมาแทน แง่ว

Portland Head Lighthouse

เป็นประภาคารที่เก่าแก่ใน Cape Elizabeth ของรัฐ Maine เป็นด่านแรกของการส่งสินค้าเข้ามาใน Portland Harbor

แต่เจอรถติด แวะ shopping อีก กว่าจะถึงก็ 2 ทุ่มกว่าๆแล้ว คิดว่าไปดู sunset ตามที่วางแผนไว้ไม่ทันแน่เลยเลี้ยวไปที่ที่พักเลย

Accommodation (Acadia National Park)

GPS ไม่ตรง แล้วเราไปถึงกันตอนแสงหมดแล้ว เลยเข้าบ้านผิด เจ้าของบ้านมาต้อนรับอย่างดี พาเข้าไปในบ้านแต่ทำหน้างงมาก ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาขอใช้ครัวและตู้เย็น คุณสำลีสะกิดยิกๆเลยว่าไม่น่าใช่ โครตอาย แทบจะลงไปกราบป้าคนนั้น (คือน่ารักมาก มีการถามว่าจะให้โทรไปหาบ้านนั้นไหม แถมแนะนำที่ท่องเที่ยวในอุทยานให้อีก แต่อาจจะแอบด่าในใจก็ได้)

ห้องใต้หลังคาน่ารักมาก แต่โคตรร้อนตอนหัวค่ำ ตกดึกโคตรหนาว

ข้อเสียคือ ป้าให้อาบน้ำได้วันละครั้ง แล้วจินตนาการความโคตรร้อนเยี่ยงอยู่เมืองไทย ป้าบอก this is not normal because of heatwave แหม ก็ให้กุอาบ 2 รอบหน่อยจิ

Day 9 (21/07) Acadia National Park (1/2)

ในที่สุดก็ถึง Acadia National Park หลังจากเที่ยวในเมืองกันมานาน ขอขอบคุณอภินันทนาการจากเพื่อนสามเจ้าเก่า ที่เพิ่งกลับไทยมาพร้อมบัตรเข้า park แบบ annual ทำให้พวกเราสามารถเข้า park ได้แบบไม่ต้องเสียเงินซักดอล (ปกติบัตร Annual ตกอยู่ที่ $80)

แผนท่องเที่ยววันนี้จ้า

Sand Beach

ฝรั่งตื่นเต้นมาก แต่จริงๆชายหาดบ้านเราสวยกว่าเยอะ

Beehive Trail

เป็น trail ที่เหนื่อยและน่ากลัวสุดๆแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะชิวๆ คือต้องวางแผนมาตั้งแต่เช้าเพื่อให้แดดไม่ร้อนมาก (กรณีหน้าร้อน) แต่งตัวสำหรับมาปีนเขาได้เลย โดยเฉพาะรองเท้า (ของพวกเรากลัวลื่นสุดๆเพราะใส่รองเท้าคัทชูแบบใส่เล่น ขนาดคุณสำลีใส่รองเท้าวิ่งไปยังเอาไม่ค่อยอยู่) พกน้ำ ยาดม energy bar ไปด้วย ต้องมีกำลังขาและกำลังแขนในการดึงตัวขึ้น บางจุดต้องใช้เข่าช่วย ดังนั้นใส่ขายาวมาก็ดี เด็กและผู้สูงอายุไม่น่าจะขึ้นได้ (เดี๋ยวแนะนำให้ไปอีกทาง โปรดอ่านต่ออย่าเพิ่งถอดใจ)

ตอนแรกยังเป็นระดับเบสิคหลอกให้ตายใจ

ซักพักเงยหน้าขึ้นไปเห็นคนปีนป่ายอยู่ตรงเขานั่น ขึ้นไปดีป่าวว่ะเนี่ย

ทางเจ้าหน้าที่เอาป้ายมาปัก warning ไว้ว่า This trail follows a nearly vertical route with exposed cliffs that requires climbing on iron rungs. หันไปสบตากับคุณสำลี คงไม่ยากปานนั้นหรอก…มั้ง

ให้พยายามมองหาแถบสีฟ้าเล็กๆ จะไป guide เบาๆว่าต้องเดินไปทางไหน มีอยู่ทางนึงเหมือนจะเป็นทางที่ต้องไปแต่ดูปีนยากมาก ดีที่ได้ฝรั่งที่ trek ขึ้นไปก่อนตะโกนลงมาบอกว่าให้ไปอีกทางหนึ่ง

เสื้อผ้า หน้าผม ไม่พร้อมซักอย่างสำหรับการปีนป่ายขนาดนี้ หวาดเสียวมาก

คุณสำลียังมีแก่ใจถ่ายวิวระหว่างปีน

ถึง Summit คือร้อนแดดเผาหัวมาก รีบถ่ายรีบเดินต่อ จิเป็นลม


trek ไป 2 ชั่วโมงเหมือนจิขาดใจ เหงือไหลต่างน้ำ คุณสำลีขอพักประมาณ 3 รอบ โดนลุงที่นั่งพักอยู่หลอกไป Bowl trail ลุงบอกสวยมาก (คือลุงมาจากอีก trail ไปไม่ถึง Beehive Summit) กัดฟันปีนขึ้นไปดูแล้วไม่ได้ว้าวขนาดนั้น แอบฉุนเล็กน้อย

สำหรับใครที่ไม่ได้อยากไป adventure ปานนั้น สามารถไปทาง Bowl trail ก่อนตรงทางแยกนี้

แล้วเดี๋ยวจะมีป้ายบอกให้ไป Beehive Summit ซึ่งจริงๆทางนี้คือทางลง (เพราะลงทางที่ขึ้นมาไม่ได้แน่ๆ)

หลังลงมาค่อยรู้ว่า Fitbit น่าปัดแตกไปแล้วจ้า แอดแวนเจ้อร์เกิ๊น

Thunder Hole

ไม่เคยไม่โชคกับเค้าเท่าไหร่ ไปดูกี่หนกี่ที่ก็ไม่เคยเห็นน้ำถูกเป่าขึ้นมาจะๆซักที

Otto Cliff/Otto Point

ถ่ายอีกด้านนึง (ทนดูรูปนางแบบไปหน่อยนึงนะ หารูปไร้นางแบบไม่เจอจริงๆ)

Jordan Pond

ใครที่จะไปกินข้าวกลางวันที่ Jordan House อาจจะต้องผจญกับฝูงชนซักหน่อย ได้ยินไกลๆว่าต้องรออย่างน้อย 20 นาที (ตอนพวกเราไปถึงคือบ่ายสอง) ไม่แน่ใจว่ามีให้ reserve ล่วงหน้าแบบ online หรือเปล่า

กำลังจะหาที่ปิกนิก อยู่ดีๆเมฆก็ตั้งเค้าและฝนก็เทลงมา เลยรีบเดินกลับไปขึ้นรถ (ซึ่งไกลมาก) กลายเป็นว่าต้องกินข้าวกลางวันในรถซึ่งพอกินเสร็จแดดก็ออกพอดี ให้มันได้แบบนี้สิน้า

ถ่าย Jordan Pond ซะหน่อย

Bubbles Trail (Left Bubble)

เป็น trail เดินแบบสบายๆไม่ค่อยมีให้ต้องปีนป่ายให้หวาดเสียว มีคนเอาลูกเด็กเล็กแดงขึ้นไป trek ด้วยตรึม ฝรั่งนี่กล้าดีแท้

Summit คือวิวดี มีหินที่เกือบหล่นให้ถ่ายรูปเล่นด้วย

วิวข้างซ้ายคือ Jordan Pond ข้างขวาคือ Eagle Lake

Bar Harbor

สถานที่รวมของกิน แต่จะจอดรถต้องจ่ายเงินแบบโหลด app เอา ชื่อ ParkMobile แต่พวกเราไม่ได้โหลดมาก่อน แถมอินเตอร์เน็ตก็มาง่อยอีก เลยใช้วิธีให้คุณสำลีขับวนๆ ส่วนฉันวิ่งลงไปซื้อ subway มากิน ที่ พักตรงนี้คือแพงมากถึงแพงที่สุด เพราะขึ้นรถไปอุทยานได้เลย มี shuttle bus จากอุทยานมารับถึงที่

เอาจริงๆไม่ค่อยชอบมาเที่ยว East เพราะแบบนี้แหละ ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทุกอย่างมี cost ค่า toll ค่า parking (แถมระบบแม่งยังยากมากอีก คือไม่มีการใช้เงินสดใดๆทั้งสิ้น) คนก็ไม่ค่อยมีน้ำใจ แย่งกันกินแย่งกันใช้ขั้นสุด

ตอนแรกกะว่าจะมาเช่าจักรยานที่นี่ขับที่ Carriage Road แต่ร่างกายไม่ไหวเลยล้มเลิก หากใครสนใจสามารถจอดรถไว้ที่ Visitor Center แล้วนั่ง Shuttle Bus มา Bar Harbor เพื่อเช่าจักรยานขับได้

Cadillac Mountain – Blue Hill Overlook (Sunset)

สถานที่สำหรับถ่าย sunset โดยเฉพาะ พวกเรามาตั้งแคมป์หาพื้นที่กันตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ (พระอาทิตย์ตก 2 ทุ่มกว่า) รู้ตัวอีกทีคนตรึมเลย ข้างบนลมดีมาก ไม่ค่อยรู้สึกถึงแดดเลย ยิ่งดึกยิ่งหนาว (อย่าลืมเอาเสื้อกันหนาวไปด้วย เหมือนฉันที่ลืมแล้วต้องไปจิ๊กของคุณสำลีมา)

ต่อไปนี้ขอลงภาพ Sunset แบบรัวๆเลยนะคะ

Day 10 (22/07) Acadia National Park (2/2)

แผนท่องเที่ยววันนี้จ้า

Cadillac Mountain – Summit (Sunrise)

Cadillac Mountain เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน east coast เป็นสถานที่ของอเมริกาแห่งแรกที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครเพื่อน (the first light in United States) วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งเพื่อขับรถออกมาให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตีห้านิดๆ ขับออกมาจากที่พักได้ระยะหนึ่งแสงอาทิตย์เริ่มมาและสวยขึ้นเรื่อยๆ ลุ้นสุดชีวิตว่าจะไปทันตอนทไวไลท์หรือเปล่า

กว่าจะไปถึงก็ 04:45 น. คือคนเยอะรถจอดเต็มหมดแล้วต้องจอดข้างทางเอา นี่ขนาดวันจันทร์ยังคนเยอะขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนเสาร์อาทิตย์จริง อากาศหนาวมากอย่างที่ทำนายไว้ ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวบางๆไปเผื่อไว้นะคะ

ตอนมีแสงเยอะๆก็สวยไปอีกแบบ อันนี้ถ่ายตอนมาสำรวจที่ทางถ่าย sun rise ตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน

Eagle Lake & Carriage Road

กินข้าวเสร็จลำไส้เริ่มทำงานก็ต้องหาที่ทิ้งระเบิด ไปเข้าห้องน้ำแบบส้วมหลุมที่ Eagle Lake และถ่ายรูปต่อเลย

Carriage Road เป็นถนนที่ John D. Rockefeller Jr. ออกแบบถนนมาสำหรับไว้ขี่ม้าและรถม้าเพื่อจะได้ไม่มีเสียงและกลิ่นของรถยนต์มารบกวน ถนนทอดยาว 45 mile เต็มไปด้วยสะพานสวยๆตลอดทาง ปั่นไปถึง Bar Harbor แล้วปั่นกลับมา

Beech Mountain Trail

อยู่อีกเกาะของ Acadia National Park ในส่วนที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากันเพราะส่วนใหญ่จะกระจุกกันที่แถว Park Loop Road

มีให้เลือก 2 ทาง ใกล้แต่ชัน กับไกลหน่อยแต่เดินง่าย ตัดสินใจไปทางใกล้ก่อน มีคนมาออกกำลังกายและพาหมามาวิ่งเยอะมาก

ขึ้นไปแล้วแอบเหนื่อยกว่าจะถึงยอด เจอ Fire House ตั้งอยู่ที่ยอด ข้างบนจะเห็นวิวทะเล Long Lake และ Echo Lake แบบไกลๆ

ขากลับกลับทางที่เดินไกลกว่าหน่อย วิวสวยมาก เห็น Long Lake แบบเต็มๆ เลยถือโอกาสพักกินขนมเพิ่มพลัง

Echo Lake

จอดถ่ายวิวกลางทาง มีชาวบ้านแถวนั้นมาเล่นน้ำด้วย อีกฝั่งเป็นแคมป์ของเด็กๆ อารมณ์ประมาณค่ายลูกเสือบ้านเรา (รู้เพราะหลงเข้าไปแล้ว)

The Bass Harbor Lighthouse

ที่ที่กะว่าจะมาถ่าย sunset ตั้งแต่วันที่มาถึงแต่ไม่ทัน ที่จอดรถค่อนข้างจำกัด ต้องปีนหินพอสมควรถึงจะได้วิวที่เห็นประภาคาร สวยดี

Wonderland Trail

Trail 1.4 ไมล์ เดินง่ายๆเลียบชายทะเลไม่มีปีนป่ายอะไรทั้งสิ้น

บ่ายโมงร่างกายบอกว่าไม่ไหวแล้ว เลยขับเข้าเมืองใกล้ๆบ้านป้าไปหาอะไรกินแล้วกลับไปนอนพักยาว ฝนตกตอนบ่ายยาวจนถึงเย็นเลยถือโอกาสนอนเล่นพักผ่อนก่อนต้องตื่นเช้าเพื่อขับรถไปนิวยอร์กเพื่อต่อเครื่องกลับชิคาโก้ในวันพรุ่งนี้

Day 11 (23/07) Back to Chicago

วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด เราออกจากที่พักตั้งแต่ตีห้าครึ่ง กะว่ายังไงต้องไปถึงนิวยอร์กก่อนหกโมงเย็น (เวลาคืนรถให้ได้)

ฝนตกมาตลอดทาง แวะพักกินกลางวันไปมื้อ และพักเพื่อเปลี่ยนขับทุก 2 ชั่วโมง เส้นทางที่เราใช้ไม่ต้องผ่านเมืองเลยตัดรถติดได้ทั้งหมด ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่คืนรถประมาณ 4 โมงเย็น ยังเสียใจกับตัวเองแว๊บๆว่าน่าจะออกซัก 6 โมงกว่าๆจะได้มีเวลานอนให้พออีกหน่อย

วันนี้ตงิดๆมาตั้งแต่กลางวัน ว่าสายการบินไม่ส่งอีเมลมาเตือนหรืออะไรกับฉันเลย พอมาติดตู้ Kiosk หาเลขเช็คอินไม่เจอเริ่มเครียด สรุปว่าถ้าจองตั๋ว return พอเราพลาดไฟลท์แรกแล้วไม่โทรไปบอกมัน (ด้วยความไม่รู้) ระบบมันจะ cancel ทั้งตั๋ว สรุปคือไม่มีไฟลท์กลับแล้วนะจ๊ะ สอบถามได้ความว่าชิคาโก้ฮ๊อตปรอทแตก คนไปเยอะมาก ไฟลท์เต็มไปจนถึงพรุ่งนี้ ราคาก็มหาโหดคนล่ะหมื่นกว่าบาท โอ้วจะเป็นลม

ลากกระเป๋าไปตั้งสติที่ food court หยิบเครื่องคอมขึ้นมาต่อเน็ตสนามบินหาทั้งไฟลท์กลับหรือรถทัวร์กลับ ในหัวแล่นงงไปหมด พยายามคำนวณว่าจะต้องทำยังไงถ้าไม่มีตั๋วกลับวันนี้ จะไปพักที่ไหน (ที่สนามบินดูเล็กๆและไม่มีที่ให้นอนจริงๆ) กล้ามเนื้อล้าจากการเที่ยวอย่างบ้าระห่ำและขับรถมาทั้งวัน

คุณสำลีสติดีมากในเวลาแบบนี้ ค่อยๆนั่งหาตั๋วจากมือถือของนางและบอกฉันให้กดจอง ในที่สุดเราเลยได้ตั๋วกลับในเวลาเดิม แม้จะแพงมากๆๆๆๆก็ตาม แต่ปลอบใจตัวเองว่าบทเรียนที่ได้จากมหากาพย์การบินในประเทศในอเมริกาครั้งนี้คือ

  • โอกาสในการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่ extreme ขนาดนี้
  • ประสบการณ์ในการจัดการกับความเครียดเวลาทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนโดยเฉพาะเรื่องเงิน (ปกติฉันเป็นคน highly-planned, highly-organized และงก อะไรหลุดจากแผนจะเครียดมาก)
  • บทเรียนในการตรวจเช็คตั๋วให้ดี จริงๆ Qatar ส่งตั๋วมา 2 แบบ แบบปกติ (ซึ่งฉันดูอันนั้นและมันไม่ได้บอกว่าตอนถึงชิคาโก้ถึงอีกวัน คือไม่มีคำว่า 13 Jul อยู่ในอีเมลฉบับนั้นเลย อาจเพราะตอนเปลี่ยนเครื่องข้ามวันมาแล้ว) กับอีกแบบคือแบบที่มีตัวอักษรเต็มไปหมด อารมณ์เหมือนตอน coding ตรงนั้นฉันลองไปไล่หาจริงๆแล้วมีบอกว่าถึง 13 Jul (แต่ต้องใช้เวลาเข้าใจมันหน่อย) ทำการบ้านในการบวกลบชั่วโมงของวันมาให้ดี
  • ใน worst case scenario ต้องศึกษาว่าหากพลาดเที่ยวบิน สายการบินนั้นๆมี policy ยังไง ต้องโทรไปยกเลิกก่อน/หลังภายในกี่ชั่วโมง ในกรณีฉันถึงจะยกเลิกไม่ทัน แต่ตอนแก้ปัญหาคราวแรก (ที่จองตั๋ว Delta บินมานิวยอร์ก) ถ้าจองตั๋วแบบ return ทีเดียวจะถูกกว่ามาจองเอา 3-4 ชั่วโมงแบบนี้มาก
  • โอกาสในการเรียนรู้การแก้ปัญหาแบบเป็นทีมกับแฟนแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ทำให้ฉันได้รู้ว่าคุณสำลีมีสติขนาดไหน (ในขณะที่ฉันมือสั่น หัวสมองเหมือนพังไปชั่วขณะหนึ่ง) และให้อภัยความเลิ่นเลอของฉันแม้ฉันจะทำให้ budget ต่อคนของทริปบวมออกมาสองหมื่นกว่า แต่นางก็ยืนยันว่าจะไม่ให้ฉันออกเองคนเดียว

Day 12 (25/07) Chicago

ปิดท้ายด้วย Chicago เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอเมริกาตั้งอยู่ในรัฐ Illinios

เริ่มจากนั่งรถไฟเข้า Chicago จากที่พักใน Evanston ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

Grant Park – Buckingham Fountain

น้ำพุใน park ฉากหลังเป็นเมืองชิคาโก้

Grant Park – The Bean (Cloud Gate)

Millennium Park Chicago & The Bean (Cloud Gate หมายถึงกระจกสะท้อนเส้นขอบฟ้า) สร้างโดย Anish Kapoor ทำจากแสตนเลท 168 แผ่นต่อกันแบบไร้ตะเข็บเหมือนเป็นก้อนเดียว เงาวับแบบไปยืนบีบสิวได้

คาดว่าจะเป็นที่เอาไว้จัด event โน่นนี่ของชิคาโก้

Grant Park – Crown Fountain

Art หน้าคนแล้วพ่นน้ำได้

DuSable Bridge

เห็น Trump Tower ซึ่งเป็นตึกสูงอันดับต้นๆของ USA

Apple Store Lake Michigan

จริงๆชิคาโก้มีที่เที่ยวเยอะกว่านี้มาก แต่ฉันยังอยู่อีกนาน เอาไว้ค่อยมารีวิวแก้มือใหม่ วันนี้ขอแค่นี้ก่อนเพราะต้องรีบไปซื้อของเข้าอพาร์ทเม้นท์เตรียมตัวเปิดเทอม

แล้วก็ได้เวลาส่งคุณสำลีกลับไทย ขอบคุณน้าที่มาส่ง + เที่ยวด้วยกัน

คุณสำลียังอุตส่าห์ถ่ายรูปตอนบินกลับมาให้ดูอีกแหนะ

แล้วเจอกันใหม่ post หน้าจ้า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*