3000 miles in USA (West Coast) EP1

ขอเปิดด้วยมุมมหาชนของ Yosemite National Park นะคะ เห็นแล้วก็อยากไปอีก

หลังจากทริปก่อนหน้าไปเดินจนน่องโป่งที่รัสเซีย เลยตัดสินใจได้ว่า เราจะไม่เดินอีกแล้ว เราจะนั่งรถ และ Road Trip ครั้งแรกของฉันในปี 2017 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ขับรถกันไปทั้งสิ้น 3000 miles หรือประมาณเกือบๆ 5000 กิโลเมตรในระยะเวลา 14 วันค่ะ

หมายเหตุ เป็นทริปที่หลังจากกลับมาก็เริ่มงานใหม่และยุ่งอยู่กับการสมัครเรียนต่อเลยถูกดองมาตลอด 2 ปี รายละเอียดอาจจะไม่ได้เป๊ะเท่าทริปอื่นๆน้า

ค่าใช้จ่าย
เป็นทริปที่แพงที่สุดในชีวิตนี้ รวมเบ็ดเสร็จอยู่ที่ประมาณ 90,000 บาท ตามรายละเอียดดังนี้ค่ะ

รายการ ค่าใช้จ่าย (บาท) ค่าใช้จ่ายต่อคน (บาท)
ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ – ซานฟราน 23,537
ตั๋วเครื่องบิน ลาสเวกัส – ซานฟราน 1,469
ค่าเช่ารถ 12 วัน ประกันระดับเบสิกสุด 18,948 9,474
ค่าน้ำมัน 15,000 7,500
ค่าที่พัก 31,178 15,589
ค่ากินและบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ 17,892
ตั๋ว Universal Studio Hollywood 3,634
ประกันการเดินทาง 1,125
ซิมโทรศัพท์ 500
VISA อเมริกา 5,000
VISA จีน 2,500
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 90,000

 

แผนการเดินทาง

ทริปนี้เรียกได้ว่าหลากหลายที่สุดเท่าที่จำความได้ ทั้งในแง่ของรูปแบบการเดินทาง (ขับรถ นั่งเครื่องบิน นั่งรถประจำทาง ขี่จักรยาน เดินเท้า) กิจกรรม และสภาพภูมิอากาศ (ขึ้นเขาลุยหิมะ บุกป่าผ่าดง กินหมึกริมทะเล เดินชิกๆในเมือง เที่ยวคาสิโน ลุยสวนสนุก บุกทะเลทราย ฯลฯ) เป็นทริปที่ทำให้หลงรักความ diversity ของอเมริกาและตั้งเป้าหมายจะไปเรียนต่อที่ประเทศนี้ให้ได้

ทริป 14 วันของฉัน อยู่ในช่วง 1-14 เมษายน 2017 มีแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวันดังนี้ค่ะ

Day1 01/04 โบยบินไปตั้งหลักที่ San Francisco
Day2 02/04 Lake Tahoe ตะลุยทะเลสาบบนเทือกเขาสูง ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา
Day3 03/04 Yosemite National Park บุกป่าไปหาหมีกริซลี่
Day4 04/04 Monterey & Carmel-by-the-sea มุ่งใต้ไปดูปลา
Day5 05/04 Morro Bay, Solvang, & Santa Barbara เลียบหาดชมมหาสมุทรแปซิฟิก
Day6 06/04 Los Angles จะไปคว้าดาวที่ฮอลลิวู้ด
Day7 07/04 Universal Studio Hollywood สวนสนุกของเมืองแห่งนางฟ้า
Day8 08/04 Las Vegas เยี่ยมชมเมืองคนบาป
Day9 09/04 Lake Mead, Hoover Dam, & route 66 ต้นทางเส้นทางทะเลทราย
Day10 10/04 Grand Canyon National Park สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง
Day11 11/04 Antelope Canyon ตามหาภาพแบคกราวนด์ Windows
Day12 12/04 Zion National Park เดินป่าตากแดดตัวดำ
Day13-14 13-14/04 San Francisco ตามล่าหาสะพานแดง

 

ยังคงคอนเซ็ปต์ไม่มีคนคบ ไปกันสองคนเหมือนเดิมค่ะ ช่างภาพสำลีกับฉันซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์แบบมั่วๆ อิอิ

ขอแบ่งเป็น 4 EP นะคะ โดย EP 1 ครอบคลุม Day 1 – Day 4 ค่ะ

Day 1 (01/04) โบยบินไปตั้งหลักที่ San Francisco

ด้วยความอยากประหยัด(โดยใช่เหตุ) ทำให้เราเลือกบินไปอเมริกาด้วยสายการบินที่ชื่อว่า China Southern Airlines โดยไปเปลี่ยนเครื่อง 2 รอบ ที่กวางโจวและอูฮั่นตามลำดับ ที่ทำให้ปวดหัวตั้งแต่จองตั๋วกันเลยทีเดียวเพราะ

  • มีการขยับเวลาบิน 1 ครั้ง (แต่ไม่ทำให้แผนเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญก็เลยรอดตัวไป)
  • มาเจออาทิตย์สุดท้ายก่อนบินว่าบางมณฑลของจีนยกเลิก transit area ดังนั้นต้องมี VISA เข้าจีน ตอนนั้นคือเหลืออีกแค่ 5 วันจะบินแล้ว รีบนัดกับคุณสำลีไปทำ VISA เสียทรัพย์ไปอีก 2,500 บาท อาเมน
  • Delay ตั้งแต่ไฟลท์ กรุงเทพ – กวางโจว พอไปถึงกวางโจวคือมีแค่ 35 นาที กับการเปลี่ยนเครื่องในประเทศที่มีประชากรเกินพันล้าน เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เห็นคนยกพวกตีกันหน้าเครื่องสแกนกระเป๋าเข้าเกต คือตอนนั้นรีบก็รีบ กลัวโดนลูกหลงก็กลัว
  • ใช้ประสบการณ์จากการซ้อมวิ่งที่ไทยวิ่งไปขึ้นเครื่องจาก กวางโจว – อู่ฮั่น ทัน แต่ปรากฏว่ากระเป๋าดันมาไม่ทันจะมากับไฟลท์ถัดไป แล้วไฟลท์จาก อู่ฮั่น – ซานฟราน มีแค่ 1 รอบต่อวัน (แปลว่าถ้ากระเป๋ามาไม่ทันคือจะตามไปซานฟรานวันรุ่งขึ้น) ซึ่งแพลนฉันคือไปถึงซานฟรานแล้วรับรถเสร็จก็ต้องรีบขับไปอีก 350 กิโลเพื่อเข้าที่พักที่ Lake Tahoe แล้วจะไม่วนมาที่ซานฟรานจนกระทั่งวันที่ 13 ของการเที่ยว ซวยล่ะ
  • ประเด็นที่จะทำให้ไม่ทันคือ เราต้องรอกระเป๋าแล้วลากมันไป international terminal (ตอนนี้อยู่ domestic) เพื่อไปโหลดเอง ทำให้ตอนไปถึง counter อาจจะปิดแล้ว
  • งัด negotiation skill ที่มีทั้งชีวิต เจรจากับแอร์ชาวจีนอยู่ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้สายการบินโหลดกระเป๋าให้ แล้วเดินเข้าเกตไปแบบโหวงๆ
  • ผลคือ กระเป๋ามาครบ แถมยังได้ upgrade เป็น Premium Economy เพื่อบินอีก 14 ชั่วโมงไปซานฟราน

แต่วันหลังเก๊าไม่ไปกะตัวแล้วนะ เราขาดกันกะสายการบินนี้ (ยกเว้นจะไปเที่ยวจีน)

มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบมารับรถทันที คันนี้เลย ชื่อน้อง Speedo จะอยู่กับเราไปอีก 12 วัน

อย่าลืมแวะซื้อ GPS ให้เรียบร้อยด้วยค่ะ นำทางก็แบบเป็นละติจูด ลองติจูดกันเลยทีเดียว

ได้เวลาเริ่มต้นทริปของเราด้วยการขับออกนอกเมืองขึ้นไปทางเหนือโดยผ่านสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุด Golden Gate Bridge การขับรถผ่านสะพานนี้ ขาเข้าเสียเงิน ขาออกไม่ต้องเสียเงินนะคะ วางแผนกันดีๆ ถ้าต้องการขับข้ามสะพานขาเข้าไม่แน่ใจว่าจ่ายเงินยังไง อาจจะต้องดีลกับบริษัทรถเช่าเพื่อซื้อบัตรเพื่อจ่ายค่าผ่านทางเพราะเค้ายกเลิกแบบจ่ายเงินสดไปแล้ว

Golden Gate Bridge @ Marine Head Land

หลังจากขับผ่านสะพานมาแล้ว ก็แวะถ่ายรูปกันซักหน่อยที่ Hawk Hill รถเยอะแยะมากมาย กว่าจะหาที่จอดได้ก็เลย Hawk Hill ไปไกล ได้วิวนี้มาครอง เดี๋ยวกลับมาแก้ตัวใหม่วันสุดท้ายก่อนกลับแล้วกัน

ซูมไปดูใกล้ๆหน่อย

เนินเขาที่เราลัดเลาะขึ้นมา

หลังจากนั้นเราก็ขับรถกันอีก 320 กิโลเมตร ถึง Lake Tahoe ประมาณเกือบเที่ยงคืน ระหว่างทางเห็นภูเขาและทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะลางๆ (พอเป็นคืนเดือนมืด เลยมื้ดดดดดดดดดมืด) เลยคุยกันกับคุณสำลีว่าพรุ่งนี้ต้องสวยมากๆเลย

เดินทางกันมากว่า 32 ชั่วโมง ก็ได้นอนบนเตียงดีๆซักที จบ Day 1 อันยาวนานไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ

อันนี้เป็นวีดีโอสรุป Day 1 ของเรา เคยทำไว้เนิ่นนานแล้วจ้า

Day 2 (02/04) Lake Tahoe ตะลุยทะเลสาบบนเทือกเขาสูง ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา

Lake Tahoe ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขา Sierra Nevada สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,897 เมตร มีขนาดใหญ่กินพื้นที่ถึง 2 รัฐด้วยกัน คือรัฐ California และ รัฐ Nevada ถือว่าเป็น Alpine Lake (ทะเลสาบที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงตั้งแต่ 5,000 ฟุตขึ้นไป) ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา เคยเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟอีกด้วย

แพลนเช้าวันนี้ ขับวนทะเลสาบ 1 รอบ โดยวนซ้าย (Clockwise) ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง วิวแบบนี้เลย ดีย์งามจริงๆ

Lake Tahoe – Inspiration Point

จุดนี้สามารถเห็นวิวของ Emerald Bay ได้ และสามารถมองเห็น Fannette Island ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ใน Emerald Bay ได้อีกด้วย

จริงๆ Emerald Bay เป็นอ่าวที่เกิดจากการกัดเซาะจากธารน้ำแข็งนานนับพันปี แต่ที่ Fannette Island ยังคงอยู่ ไม่ถูกกัดเซาะ เนื่องจากพื้นที่ตัวเกาะเป็นหินแกรนิตนั่นเอง บริเวณส่วนกลางของเกาะจะมีโครงหิน มียอดปลายแหลมคล้ายกับปราสาทขนาดเล็ก มีชื่อว่า Tea House เดิมเจ้าของเคยใช้ เป็นที่นั่งจิบชา ต้อนรับแขก (เว่อร์วังปานนั้น) ปัจจุบันได้ถูกทำลาย เหลือเพียงแค่ซากหินเท่านั้น

Lake Tahoe – Vikingsholm

จุดชมวิวฝั่งตรงกันข้ามกับ Inspiration Point ลานหินกว้างเป็นเนินเล็กน้อย สามารถเดินไปชมวิวของ Emerald Bay ได้สวยกว่าจุดแรก ใครอ่ะ หน้ากลมเชียว

มองเห็นธารน้ำที่ไหลมาจาก Eagle Falls ก่อนที่จะไหลลงสู่ Lake Tahoe ด้วย แอบกระซิบว่ามี trail เล็กๆ ชื่อว่า Eagle Falls Trail ไม่ถึงครึ่งไมล์ อยู่แถวนี้ เผื่อใครอยากออกกำลังกายเด้อ แต่ต้องไปแย่งชิงที่จอดรถแต่เช้านะจ้ะ

Lake Tahoe – Unknown Point

หลังจากขับต่ออีกชั่วโมงกว่าๆก็เจอรถจอดอยู่ตรึม เลี้ยวเข้าไปดู อุ้ย วิวสวยจริง แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนอ่ะ (เก๊าซอรี่)

คุณสำลีทำพาโนราม่ามาด้วย รูปคนไม่ถ่ายเนอะ

วนครบรอบก็ได้เวลาขับลงใต้อีก 320 กิโลเมตร เพื่อไปจุดหมายต่อไป นั่นคือ Yosemite National Park อันมีชื่อเสียง ต้องเสียเงินค่าเข้า 30$ (ต่อคัน) แต่ถ้าเสีย 80$ จะเข้าอุทยานที่ไหนก็ได้ 1 ปี (Annual Pass)

ตอนเราไปถึงก็มืดค่ำแล้ว เจ้าหน้าที่กลับบ้านกันหมดเลยขับผ่านเข้าไปแบบงงๆ เพื่อไปยังที่พักที่จองไว้ในตัว National Park ชื่อ Big Trees Lodge คืนละไม่แพงมาก เกือบ 4,000 บาทเอง (ร้องไห้แป๊บ) แถมห้องน้ำยังแยกตัวออกมาอยู่ข้างนอก ปวดฉี่ทีเดินบิดตูดฝ่าความหนาวไปห้องน้ำแทบไม่ทัน ข้อควรระวังสำหรับการจอดรถข้ามคืนที่นี่คือ ห้ามมีอาหาร ขนม หรือของกินอะไรอยู่ในรถ เพราะน้องหมีกริซลี่จะมาขย่มรถเพื่อเอาอาหารในรถออกมา (น้องโหดจริงๆ)

วีดีโอของวันนี้ไว้ดูเล่นๆจ้า

Day 3 (03/04) Yosemite National Park บุกป่าไปหาหมีกริซลี่

เมื่อไร้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พิษจาก jetlack ก็โจมตีฉันทันที ผลคือตื่นตั้งแต่ตีสาม (เพื่อออออออออออ) ไม่มีอะไรทำนอกจากคอยฟังเสียงความเคลื่อนไหวของคุณหมีกริซลี่ เลยตัดสินใจเขย่าตัวคุณสำลีบอกว่าถึงเวลาไปถ่าย sunrise (ที่ไม่มีอยู่ในแพลน) คุณสำลีผู้น่าสงสารจึงได้แต่เตรียมอุปกรณ์ถ่ายรูปอย่างงัวเงียแล้วเดินตามมาอย่างงงๆ

Sunrise @ Tunnel View

ขับรถมาจากที่พักประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ๆคนเป็นล้านมาถ่ายรูปกัน Tunnel View เป็นจุดชมวิวที่อลังที่สุดใน Yosemite National Park ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆอุโมงค์ (เลยชื่อว่า Tunnel View มั้ง คิดว่านะ) จะเห็นวิวเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา คือ El Capitan, Half Dome, Sentinel Rock, Sentinel Dome และน้ำตก Bridalveil

Lower Yosemite Falls

ไปต่อกันที่ Lower Yosemite Falls ที่ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 30 นาที (ไม่นับถ่ายรูปน้ำตก) เดินไม่นานก็ถึงน้ำตก มีรุ้งกินน้ำตัวเล็กๆประดับบารมีด้วย ไม่ธรรมดา

เบื้องหลังการถ่ายทำกับความกระเซ็นของน้ำตก เปียกไปครึ่งตัว

วิวป่าแถวนี้ก็ใช่ธรรมดา

เดินไปเรื่อยๆ เจออีกมุมสวยๆที่เห็นน้ำตก

สรุปว่าแนะนำให้มาเดินค่ะ ไม่เหนื่อยมาก แถมวิวสวยๆเยอะอีกด้วย

Breakfast @ Degnan’s Deli

หลังจากไปหาที่จอด speedo ดีๆได้แล้ว เราก็อาศัย Yosemite Shuttle นี่แหละ ในการเคลื่อนย้ายมวลสารอ้วนๆ (นั่นก็คือฉันและคุณสำลีพร้อมกล้อง) จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง

มาพร้อมแผนที่ของ Shuttle Bus เลยจ้า Lower Yosemite Fall เมื่อกี้ ถ้านั่งรถไปก็อยู่จุด 6 นะจ้ะ

หันไปเห็นสายตาร้อนแรงด้วยความหิวโหยของคุณสำลีแล้วได้แต่ pause แผนการเที่ยวไว้ก่อนแล้วพาคุณพี่กระโดดขึ้น Shuttle Bus ไปที่ Degnan’s Deli (จุด 4) ด่วน

จ่ายไปคนละเกือบ 300 บาท ได้ขนมปังเกรียมๆ มันฝรั่งงงๆ กับออมเลตที่พอดูดี กันมาคนละจาน

Cook’s Meadow loop

เต็มลูปจะประมาณ 2 ไมล์ โดยเริ่มเดินที่ Valley Visitor Center (จุด 5&9) วิวหลักๆที่จะได้เจอก็คือ Yosemite Falls View ที่ไปมาเมื่อเช้า

Sentinel Bridge โอ๊ะ เจอนางแบบชื่อดังพอดี

Yosemite Chapel ซึ่งเป็นโบสถ์ไม้ขนาดเล็กที่สวยงาม สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1879 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ Yosemite National Park

จริงๆยังมีมากกว่านี้ แต่ปวดอึ๊ก่อน ต้องนั่ง Shuttle ไปหาห้องน้ำ เอิ่มมม

Mirror Lake

นั่งรถไปยังจุด 17 เพื่อ Trail 2 ไมล์ ตอนแรกกลัวเจอหิมะจนเดินต่อไม่ได้แต่ปรากฎว่าวันจริง ไหง mirror ตรูกลายสภาพเป็นแอ่งน้ำแถวบ้านล่ะลู้กกกกกกก โน้วววววววววว

Swinging Bridge Picnic Area

อันนี้ไปเอารถแล้วขับไปกัน ฉันเริ่มง่วงงอแง (พิษ jetlack ระดับกระทิงแดงเอาไม่อยู่) เลยไม่มีรูปสะพาน คุณสำลีถ่ายรูปวิวแถวนั้นแบบเบี้ยวๆมาได้ 1 รูปเพราะมัวแต่ดูแลคนอาละวาดอยู่ เหอะๆๆๆ

Bridralveil Falls

น้ำตกที่เห็นจาก Tunnel View เมื่อเช้า ไม่สามารถเข้าไปดูใกล้ๆได้จริงๆเพราะนางคือน้ำตกที่ไหลลงจากน้ำผาตัด ทิ้งดิ่งลงมากระทบพื้นแบบไม่มีอะไรขวางกั้นแรงดันน้ำเลยขั้นสุด กระเซ็นเป็นวงกว้างห่างจากน้ำตกเป็นกิโล หามุมถ่ายมาได้แค่นี้แหละ

Sunset @ Tunnel View

มี sunrise ก็ต้องมี sunset จ้า ไปตั้งกล้องกันตั้งแต่ sun ยังอยู่บนฟ้าพอแสงหมดดันไม่สวยซะงั้น

วีดีโอของวันนี้ไว้ดูเล่นๆจ้า

Day 4 (04/04) Monterey & Carmel-by-the-sea มุ่งใต้ไปดูปลา

เราขับรถออกจาก Yosemite National Park แต่เช้า (ใครยังไม่ได้เสียตังค์ขาเข้าก็จงเสียขาออกนะจ๊ะ) มุ่งหน้าลงใต้อีก 310 กิโลเมตรไปแวะพักกินอาหารกลางวันที่ Monterey (มีตัว ‘t’ นะ แต่ดันออกเสียงว่า มอนเนอเร่ ตอนแรกอ่านผิด โอ้ย บ้านนอกเลย)

Monterey (Fisherman Wharf)

Monterey เป็นเมืองแห่งปลากระป๋อง จับจนปลาหมดเมืองเลยต้องปิดโรงงานลง สถานที่ท่องเที่ยวที่ดังที่สุดคือ Monterey Bay Aquarium (สถานที่เป็นโรงงานปลากระป๋องเก่า) ไปดูรีวิวมาว่าข้างในอลังการปลาล้านตัวมาก แต่บัตรค่าเข้าอย่างแพง แล้วก็ไม่ได้ชอบดูปลาอะไรขนาดนั้น เลยขอแค่ขับรถผ่านค่ะ

เราแวะทานอาหารกลางวันแถว Fisherman Wharf กัน

มีเรือจอดตรึม

ในที่สุดก็หาที่กินได้ portion หญ่ายมากกก (แพงด้วย) จนกินไม่หมดต้องห่อกลับกันเลยทีเดียว

17 Mile Drive

กินกันอิ่มก็ไปต่อกันที่ 17 Mile Drive ขับเลียบ Pebble Beach ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟที่คนมีกะตังค์มาเล่นกัน เสียค่าเข้าคันล่ะ $10 จ้า

Spanish Bay

ตั้งชื่อตามชนชาติของ Don Gaspar de Portela ซึ่งเป็นนักสำรวจชาวสเปนมาค้างแรมที่นี่ขณะกำลังมาสำรวจ Monterey

Restless Sea and Point Joe

คลื่นลมไม่สงบนะแถวนี้

China Rock

Bird Rock

ลักษณะเป็นภูเขาหินขนาดเล็กๆ ตั้งอยุ่ในทะเล ใกล้กับชายฝั่ง ในช่วง Spring จะมีทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวก สิงโตทะเล (Sea Lion) กับ แมวน้ำ (Harbor Seal) อาศัยอยู่ และพวกสัตว์ปีก ที่อาศัยอยู่ด้านบนสุดจะเป็นพวกนกทะเล อย่าง Brandt’s Cormorant กับ Western Gull

ซูมแล้วเห็นเยอะเลย

เจอตัวนี้แย่งซีนอยู่ที่ชายหาย

Lone Cypress

ต้นสนที่ขึ้นอยู่บนโขดหินแกรนิตอยู่เพียงต้นเดียว สู้แดดสู้ลมมานานมากกว่า 250 ปี ลำต้นเคยมีบาดแผลจากไฟไหม้ด้วย ปัจจุบันมีการดูแลรักษา โดยใช้สายเคเบิ้ลดึงลำต้นไว้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของ West Coast อีกแห่งหนึ่งก็ว่าได้ นอกจากนั้นต้นไม้ต้นนี้ยังเป็นต้นไม้ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดของอเมริกาเหนือด้วย

Carmel-by-the-sea

Carmel-by-the-Sea เป็นชุมชนของบรรดาศิลปิน มองไปทางไหนก็จะเห็นแกลอรี่ขายงานศิลปะเต็มไป เราจะไปเดินเล่นที่ Ocean Avenue ซึ่งเป็นเส้นหลักของเมือง ในบริเวณนี้มีร้านค้า ที่พักต่างๆ มากมาย

เหมือนหลุดเข้าไปในการ์ตูน Disney เลย

จากนั้นเราไปตั้งหลักดูพระอาทิตย์ตกกันที่ Carmel Beach แต่หนาวมาก ฟ้าก็ปิด นั่งอยู่ครึ่งชั่วโมงเลยตัดสินใจโยกย้ายตัวเองไปหาที่พัก ซึ่งเป็น Airbnb ที่แรกในชีวิตที่เคยจอง (หลังจากนั้นก็จองจนชิน อิอิ)

วีดีโอไว้ดูเล่นๆจ้า

เจอกัน EP2 น้า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*