3000 miles in USA (West Coast) EP2

สำหรับ EP2 เรามาต่อกันที่ Day 5 – Day 8 ค่ะ ใครยังไม่ได้อ่าน EP แรก
Day 1 – Day 4 https://wp.me/p6REJW-1gv

Day1 01/04 โบยบินไปตั้งหลักที่ San Francisco
Day2 02/04 Lake Tahoe ตะลุยทะเลสาบบนเทือกเขาสูง ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา
Day3 03/04 Yosemite National Park บุกป่าไปหาหมีกริซลี่
Day4 04/04 Monterey & Carmel-by-the-sea มุ่งใต้ไปดูปลา
Day5 05/04 Morro Bay, Solvang, & Santa Barbara เลียบหาดชมมหาสมุทรแปซิฟิก
Day6 06/04 Los Angles จะไปคว้าดาวที่ฮอลลิวู้ด
Day7 07/04 Universal Studio Hollywood สวนสนุกของเมืองแห่งนางฟ้า
Day8 08/04 Las Vegas เยี่ยมชมเมืองคนบาป
Day9 09/04 Lake Mead, Hoover Dam, & route 66 ต้นทางเส้นทางทะเลทราย
Day10 10/04 Grand Canyon National Park สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง
Day11 11/04 Antelope Canyon ตามหาภาพแบคกราวนด์ Windows
Day12 12/04 Zion National Park เดินป่าตากแดดตัวดำ
Day13-14 13-14/04 San Francisco ตามล่าหาสะพานแดง

 

Day 5 (05/04) Morro Bay, Solvang, & Santa Barbara เลียบหาดชมมหาสมุทรแปซิฟิก

จากวันนี้ตั้งใจจะไป Grand Pacific Drive ดูวิวสะพรึงๆซักหน่อย ถนนดันขาดด้วยเหตุภัยธรรมชาติ กลายเป็นว่าต้องตัดเข้า High Way 101 ไปที่ Morro Bay เลย (แต่ขนาดตัดไปแล้วยังถึง LA เกือบเที่ยงคืน) วันนี้ขับรถกันหน้ามืด 600 กว่ากิโล ขาดเกินเล็กน้อยจ้า

ตามนี้ สาย 1 ปิดนะแจ๊ะ มาแก้ตัวรอบหน้า

Point Lobos State Reserve

แวะ Hiking กันที่ Cypress Grove Trail มีระยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร เดินดูมหาสมุทรแปซิฟิกท่ามกลางป่าสน โดยเห็น 17 Mile Drive ที่เราไปมาเมื่อวานลิบๆ

Morro Bay

ถึงแล้วก็ถ่ายรูปกับหินยักษ์ Morro Rock ซักหน่อย

แวะกินอาหารกลางวันด้วยความหิวโหย Fish & Chips ที่นี่จะอร่อยไปไหน

Solvang

ขับไปอีก 130 กิโลเมตรก็จะถึงเมืองเล็กๆที่มีกลิ่นอายสไตล์ Danish แวะพักดูอาคารบ้านเรือนต่างๆ ตกแต่งด้วยสีสันสดใส มีทั้งร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านไอติม เยอะแยะตลอดสองข้างทาง เมืองนี้เกิดจากชาวเดนมาร์คอพยพมาตั้งรกราก และก่อร่างสร้างชุมชนกันจนเป็นเมือง Solvang

Santa Barbara

ขับรถไปอีกชั่วโมง (ุประมาณ 60 กิโลเมตร) เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Santa Barbara มีคนมาตกปลาตรึมเลย

ขับรถมาเหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทำเท่ไว้ก่อน

แอบโรแมนติก

รอ เรือ รอ รัก (เพ้อ)

อ๊าก ปลาวาฬกัด (กุว่าเมิงอ่ะ เลิกเล่นแล้วกลับเหอะ)

วิวหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ได้เวลาขับรถต่ออีกเกือบ 200 กิโลเมตรเพื่อเข้าที่พักที่ Los Angles ที่ที่เราจะสิงสถิตย์อยู่กันอีก 2 วันเต็มๆ

Day 6 (06/04) Los Angles จะไปคว้าดาวที่ฮอลลิวู้ด

แพลนวันนี้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากป่าเขาทะเลเป็นการเที่ยวในเมือง เอาเข้าจริงปัญหาในการขับรถใน Los Angles ก็คล้ายๆกับการขับรถในกรุงเทพ (แต่อาจจะเบาบางกว่าหน่อย) คือรถติดและหาที่จอดรถยาก

Santa Monica Pier

Santa Monica pier ท่าเรือเก่าแก่ร่วม 100 ปี ปัจจุบันเป็นสถานพักผ่อนหยอนใจของชาว LA เพราะอยู่ใกล้เมือง ใน pier มี สวนเครื่องเล่น Pacific Park และร้านอาหารหลายร้าน

อย่าลืมมากินร้านดังด้วยนะ Bubba Gump เป็นร้านอาหารซีฟู้ดที่เลียนแบบบรรยากาศมาจากในหนังที่ทุกคนรู้จักกันเรื่อง Forrest Gump (ใครจะไปกินที่นี่ต้องดูหนังไปก่อนนะ)

ไอเดียของบริษัทมากจากตัวละครในท้องเรื่อง Bubba ชายผิวสีจากตระกูลของนักปรุงกุ้งชวน Forrest Gump มาหุ้นกันซื้อเรือออกจับกุ้ง แต่ Bubba ดันมาเสียชีวิตไปซะก่อน Forrest Gump จึงสานเจตนารมณ์ของเพื่อนรักเปิดบริษัทนี้ขึ้นมา (เออ ก็เป็นเรื่องเป็นราวดีนะ) หนึ่งในวลีดังของเรื่อง Run Forrest Run

หน้าตาอาหาร อัลหย่อย

Bevery Hills

ไปต่อกันที่ Bevery Hills ย่านคนรวยของเหล่าเศรษฐีและดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง ตลอดเส้นถนนเป็นที่ตั้งของบ้านหลังใหญ่ ที่หรูหรามากมาย ราคาบ้านเฉลี่ยก็หลังละ 2.2 ล้านดอลลาร์ = 70 ล้านบาทเท่านั้นเอง ไม่แพงเลยจริงๆ

ในรูปเหมือนคนสวนมาโพสต์ท่าถ่ายรูปหลังตัดหญ้าเสร็จ

Hollywood Boulevard

สามารถไปจอดรถได้ที่ Hollywood & Highland Center เดินออกมาด้านหน้าก็จะเจอกับ Dolby Theatre

เดิมทีโรงละครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Kodak Theatre มาตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่งมาเปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น Dolby Theatre เมื่อปี 2012 เนื่องจาก บริษัท อีสท์แมนโกดัก กำลังจะล้มละลาย ทุกๆปีที่นี่จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานออสการ์ มีการปิดถนนด้านหน้า และปูพรมแดง ต้อนรับเหล่าดารา และเซเลบริตี้ชื่อดังจากทั่วโลก

อ้าว เจอเศษเล็บ เอ้ย เซเลบ 1 ea

เรายังสามารถไปดูป้าย Hollywood ที่ Hollywood & High Land Center ได้อีกด้วย (แต่แบบจิ๋วๆนะ)

เดิมทีป้ายนี้มาจากคำเต็มๆว่า “HOLLYWOODLAND” ซึ่งเป็นป้ายโฆษณาของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนั้น พอเศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทเริ่มมีปัญหาทางการเงิน ตัวอักษร H ชำรุดตกลงไป ไม่มีใครดูแล ทางการจึงได้ซ่อมแซม และนำคำตัวอักษร 4 ตัวท้าย LAND ออก กลายเป็น Hollywood ที่พวกเรารู้จักกันซะงั้น

พอเดินก้าวออกมาจากห้าง ก็จะเจอ Hollywood Boulevard บริเวณนี้จะเห็นบริเวณพื้นผิวทางเท้าทั้งสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย นั่นคือ Hollywood Walk of Fame

โดยดวงดาวทั้งหมดกว่า 5,000 ดวงเหล่านี้จะจารึกรายชื่อนักแสดงและบุคคลที่มีชื่อเสียงจาก 5 วงการ: ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ดนตรี วิทยุ และละครเวที โดยผู้ที่ได้รับการจารึกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง บางชื่ออาจเป็นตัวละครในภาพยนตร์ เช่น มิกกี้เมาส์ สโนไวท์ ก๊อดซิลลา หรือแม้แต่ชื่อบริษัทอย่าง ดิสนีย์แลนด์ ก็ถูกจารึกเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อทุกคน จะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียม เป็นเงิน 25,000 ดอลลาร์ เพื่อบำรุงรักษาดวงดาวด้วยนะแจ๊ะ

Griffith Observatory

ย้ายกันไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Griffith Observatory ที่ถูกใช้เป็นฉากดังในหนังหลายเรื่อง ที่ดังสุดคงจะเป็น La La Land ซึ่งฉันอยากจะไปถ่ายรูปให้ได้แบบนั้นบ้างแต่คุณสำลีส่ายหน้าลูกเดียว

แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกล กว่าจะหาที่จอดได้แทบหอบ แถมจากที่จอดยังต้องเดินขึ้นเขาอีกเป็นกิโล (อันนี้ได้หอบจริงเลย)

จากที่นี่ก็เห็นป้าย Hollywood แบบจิ๋วๆเหมือนกัน

ซูมมมม

วิวจากข้างบน Griffith Observatory ค้นพบว่าวิวกลางคืนสวยกว่าพระอาทิตย์ตกอีก

LA ยากค่ำคืน

อยู่จนหน่ำใจแล้วก็ได้เวลาเดินลงเขากลับไปหา speedo (ชื่อรถที่เช่ามา) เพื่อขับกลับที่พัก วันนี้รีบนอนเก็บแรงเพราะพรุ่งนี้ต้องใช้พลังงานเยอะแน่นอน

Day 7 (07/04) Universal Studio Hollywood สวนสนุกของเมืองแห่งนางฟ้า

สวนสนุก Universal Studios นั้นมีทั้งหมด 4 ที่ในโลก

1. Universal Studios Hollywood (สาขาแรกของโลก) California
2. Universal Orlando Resort (สาขาที่ใหญ่ที่สุด) Florida
3. Universal Studios Japan (สาขาแรกของฝั่งเอเซีย ) ญี่ปุ่น โอซาก้า
4. Universal Studios Singapore (สาขาที่เล็กที่สุด) สิงคโปร์ เกาะเซนโตซ่า
5. Universal Studios Beijing อยู่ที่เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน (เปิด 2019)

Universal Studios Hollywood ถือว่าเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นจุดเริ่มต้นของสวนสนุก Universal Studios เลยก็ว่าได้ แต่ที่นี้จะเน้นไปทางด้าน Studios Tour เพราะที่นี้มี Studios ที่ใช้ถ่ายภาพยนต์ดังๆมากมายก็รวมอยู่ในที่นี้ด้วย

ฉันเลือกไปเล่นโซน Harry Potter ก่อน ข้อดีของการมาเล่นโซนนี้ที่นี่ คือคนไม่ได้เยอะเว่อร์วังมาก (ถ้าเทียบกับที่ญี่ปุ่น) เครื่องเล่นขี่ไม้กวาดคว้าควิชดิชที่ popular ที่สุดก็ใช้เวลาต่อแถวประมาณชั่วโมงนิดๆ (นี่ขนาดมาเที่ยวตรงกับเทศกาลอีสเตอร์นะเนี่ย)

ร้านขายไม้กายสิทธิ์

รถไฟไป Hogwart

พักทานอาหารกลางวันแบบอเมริกัน (ว่าแต่น่องไก่จะใหญ่ไปไหน)

Scoopy Doo ที่ดูมาตั้งแต่เด็ก ยังจำเพลง intro ได้อยู่เลย

อีกเครื่องเล่นที่คุณสำลีตั้งใจมาเล่นจริงๆคือ Studio Tour: Fast and Furious

ซึ่งจะพาชม studio ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์และระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์ที่ต้องไปซิ่งช่วยเพื่อนๆด้วย

ที่เหลือคล้ายๆกับเครื่องเล่นที่สิงคโปร์ที่เคยรีวิวไปแล้ว สามารถดูรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยจ้า https://wp.me/p6REJW-cM

หลังจากอิ่มหน่ำสำราญในสวนสนุกจนคุ้ม 3,600 กว่าบาที่เสียไป ก็ได้เวลากลับไปเก็บของ เก็บผ้าที่ซักตากไว้เพื่อเตรียมย้ายที่พักกันในวันรุ่งขึ้นค่ะ

Day 8 (08/04) Las Vegas เยี่ยมชมเมืองคนบาป

วันนี้เราออกแต่เช้าเพราะต้องขับรถประมาณ 450 กิโลจากเมืองแห่งนางฟ้าไปเมืองคนบาป ต่อไปนี้เราจะเข้าโซนทะเลทรายกันแล้วค่ะ

วันนี้เป็นเวรฉันขับรถ ซึ่งน่าเบื่อมากเพราะ GPS บอกฉันว่า go straight for 430 km and turn left โหเมิง สี่ร้อยกว่าโลให้กุตรงอย่างเดียว เมิงจะไม่เลี้ยวเลยใช่ไหม

หลังจากขับรถตรงๆกันมา 6 ชั่วโมง บ่ายคล้อยเราก็มาถึงซักที แวะถ่ายกับป้าย Welcome to Las Vegas ก่อนเลย

หมายเหตุ น้ำมันแถวนี้ถูกมาก (เมื่อเทียบกับเติมที่บนเขาๆอย่าง Lake Tahoe) รีบเติมให้เต็มๆถังเลยนะคะ

Las Vegas นั้นเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในนามของ Sin city หรือเมืองคนบาปนั่นเอง เนื่องจากลาสเวกัสเป็นมืองที่เติบโตมาจากธุรกิจการพนัน และพัฒนามาจนเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางแห่งความบันเทิงเต็มรูปแบบ ทั้งคาสิโน โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า การแสดงโชว์ต่างๆ รวมถึงแสงสียามค่ำคืนที่เป็นจุดเด่น ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือน

เราเข้าไปเก็บของพักผ่อนเอาแรงที่ที่พัก รอดึกๆถึงจะมาตะลุยเมืองคนบาปกัน

The Las Vegas Strip

ที่เราตั้งใจจริงๆคือการมาดูน้ำพุที่โรงแรม Bellagio

แต่ปรากฏว่าเพราะลมแรงผิดปกติ เค้าเลยยกเลิกการแสดงน้ำพุ (ที่รู้เพราะยืนขาแข็งต้านลมมาเกือบชั่วโมงจนเลยเวลาแสดงน้ำพุแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น)

แต่นอกจากนี้ ทุกท่านยังสามารถเดินดูโชว์และความอลังการที่โรงแรมและศูนย์การค้าต่างๆจัดให้ เช่น Fashion Show Mall, Wynn & Encore, The Venetian, The Palazzo, Treasure Island, Mirage, Caesar Palace, Paris Las Vegas, Planet Hollywood,  New York – New York, Excalibur, MGM Grand, Luxor, Mandalay Bay และอีกมากมาย

บรรยากาศใน The Venetian เหมือนที่มาเก๊าเด๊ะๆ

ในส่วนของการพนันคือไม่มีกั๊กเหมือนมาเก๊าหรือสิงคโปร์ที่เคยไปเห็นมา กันโซนคนเล่น เช็คอายุ อะไรพวกนี้ลืมไปได้เลย ให้เล่นกันตั้งแต่ก้าวออกมาจากลานจอดรถ นึกครึ้มที่ไหนก็เล่นได้ เรียกได้ว่ามีทุกที่ทุกเวลาจริงๆ

เจอกัน EP3 ค่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*