AUSTRALIA Road Trip ขับรถตะลุยถิ่นจิงโจ้ EP1

ทริปใหญ่ปี 2018 ขอพาทุกๆท่านไปพบกับประเทศที่อุดมไปด้วยสิงห์สาราสัตว์แสนแปลกประหลาด… ออสเตรเลีย เลีย เลีย
#เปิดมาได้น่าไปมากจริงๆ #ขอแบ่งเป็น 3 EP นะคะ โหลดโหดเกิ๊น

ทำไมถึงไปออสเตรเลีย

  • ติดใจ Road Trip ที่ไปอเมริกามาปีที่แล้ว (ที่ป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำรีวิว) เลยมานั่งคิดกับคุณสำลีว่าถ้าไม่ไปอเมริกา จะมีที่ไหนที่ไปแล้วให้ฟิลลิ่งแบบนั้นอีกไหม
  • ภูมิแพ้กรุงเทพกำเริบ เหมาะกับคนที่เบื่อเมือง ชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบแอดเวนเจอร์ ชอบกิจกรรมผาดโผน รักสัตว์(ป่า) โปรดมาเยื่อนออสเตรเลีย
  • ถูกกว่าไปนิวซีแลนด์ (เป็นประเทศที่ฝันไว้ว่าจะไปเหมือนกันแต่เห็นค่าเครื่องแล้วขอเป็นลมแพร๊บ) แล้วคิดว่าน่าจะได้ฟิลพอๆกัน แบบมีสัตว์แปลกประหลาด แลนด์สเคปสวยๆ
  • ใช้เวลาน้อยกว่าบินไปอเมริกาอีกรอบ (สำหรับคนลางานได้ไม่เยอะ) บินไม่ไกลไม่เหนื่อยมาก บินตรงน่าจะประมาณ 9 ชั่วโมง ส่วนพวกเราเปลี่ยนเครื่องรวมๆแล้วอยู่ที่ 11.5 ชั่วโมง ยังไม่ถึงครึ่งของที่ต้องบินไปอเมริกาปีที่แล้ว
  • ไปเปิดแมปทวีปใหม่เลยนะเฟร้ยยยย ตอนนี้ก็ยืดอกโอ้อวดได้ว่าไปมาเกือบทุกทวีปทั่วโลกแล้ว เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และ แต่นแต๊น ทวีปออสเตรเลีย คริคริ

การทำวีซ่าหลักสูตรเร่งรัด

วีซ่าออสเตรเลียจะยากตอนเตรียมเอกสาร เรียกได้ว่าขอเยอะกว่าขอวีซ่าอเมริกา แต่จะเร็วตอนเจ้าหน้าที่พิจารณา ถ้าหลักฐานครบก็แป๊บเดียวจริงๆ บางทีไม่ถึงวัน

  1. สร้าง ImmiAccount บนเว็บ https://online.immi.gov.au/
  2. กรอกใบสมัคร 20 ขั้นตอน อ้างอิงตามกระทู้นี้ได้ เขียนไว้ละเอียดมาก (https://pantip.com/topic/33377717)
  3. อัพโหลดเอกสารและหลักฐานต่างๆ โดยเอกสารที่อัพโหลดใช้การสแกนและรวมเป็น PDF ไฟล์ค่ะ และไม่จำเป็นต้องเซ็นสำเนาถูกต้อง
    – รูปถ่ายวีซ่า
    – Passport เล่มปัจจุบัน (หน้าแรกและทุกหน้าที่มีบันทึกการเดินทาง)
    – บัตรประชาชน
    – Passport เล่มเก่า และวีซ่าเข้าประเทศอื่นๆ (ถ้ามี)
    – สำเนาทะเบียนบ้าน
    – หลักฐานการเดินทาง ได้แก่ (1) หลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ และ (2) แผนการเดินทางคร่าวๆ
    – หลักฐานทางการเงิน ได้แก่ (1) หน้า Book Bank (2) Bank Statement ย้อนหลัง 6 เดือน โดยปริ๊นท์จากเว็บได้ (3) Payslip ย้อนหลังหนึ่งเดือน (4) รายการสินทรัพย์ที่มี เช่น หุ้นหรือกองทุน และ (5) หนังสือรับรองการทำงาน
  4. กดส่งใบสมัครและจ่ายเงินค่าธรรมเนียม 141.37 AUD ผ่านบัตรเครดิต
  5. หลังจากนั้นจะได้รับ Email 2 ฉบับ เพื่อยืนยัน IMMI Acknowledgement of Application และ IMMI s257A (s40) Requirement to Provide PIDs ให้ปริ้นเก็บไว้เพื่อใช้ในขั้นตอนการเก็บ Biometrics
  6. ทำการลงทะเบียนเว็บ VFS เพื่อนัดหมายเข้าไปเก็บ Biometrics (สแกนลายนิ้วมือกับถ่ายรูป) อ้างอิงกระทู้นี้ได้เลย https://pantip.com/topic/37039582
  7. เข้าไปเก็บ Biometrics ตามนัดหมายที่ VFS โดยศุนย์ในกรุงเทพฯจะอยู่ที่ตึก The Trendy Office Building ในซอยสุขุมวิท 13 ไปถึงก็ยื่นนัดหมายที่ชั้น 1 ได้เลย โดยเจ้าหน้าที่จะให้เข้าคิวเพื่อขึ้นลิฟท์ไปชั้น 28 หลังจากนั้นก็เก็บ Biometrics ตามขั้นตอน และจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 896 บาท
  8. ใช้เวลาประมาณ 1 วันทำการหลังจากเก็บ Biometrics เรียบร้อยก็จะได้รับ Email ยืนยันวีซ่า ในช่วงระหว่างรอนี้ ให้พยายามเข้าไปเช็ค Status บนเว็บบ่อยๆ เผื่อเจ้าหน้าที่อาจจะขอให้อัพโหลดเอกสารเพิ่มเติม

หลังจากได้วีซ่าแล้ว สามารถเข้าประเทศได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องปริ้นเอกสารไปยืนยัน โดยวีซ่าที่ได้มาแบบ Multiple มีอายุ 3 ปีค่ะ

ฤดูกาลที่กลับกัน


ออสเตรเลียอยู่ทางตอนใต้ของเสันศูนย์สูตร จึงทำให้มีสภาพอากาศต่างจากซีกโลกเหนือ พูดง่ายๆคือฤดูกาลจะตรงกันข้ามกับประเทศส่วนใหญ่ที่พวกเรารู้จัก

  • ฤดูใบไม้ร่วง (มีนาคม – พฤษภาคม) ช่วงที่เราไปคือช่วงนี้ อากาศเริ่มเย็นตามเมืองชายฝั่งตอนใต้ ฝนตกชุก ง่าาา มาช่วงสงกรานต์ก็เตรียมใจเจอกับฝนหน่อยเด้อ
  • ฤดูหนาว (มิถุนายน – สิงหาคม) ใครอยากหนาว อยากเห็นหิมะก็เชิญมาช่วงนี้เลยค่ะ ขอบอกว่าอาจได้เห็นปลาวาฬ killer whale ด้วยนะคะ
  • ฤดูใบไม้ผลิ (กันยายน – พฤศจิกายน) อากาศดี ดอกไม้สวย
  • ฤดูร้อน (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) ไม่ว่ากันหากอยากมาสวนกระแสโลกร้อนตับแตกกันที่นี่ บางที่อาจร้อนจัด (พวกทะเลทราย) และมีไฟป่า

แม้เราจะมาช่วงฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็อย่าได้ประมาทอากาศ ยิ่งไปทางตอนใต้ ประกอบกับลมพัดแรงๆก็หนาวได้ถึงขั้วหัวใจเหมือนกัน แนะนำให้เช็คสภาพอากาศให้ดีและตระเตรียมแจ๊คเก็ดไปซักตัวเผื่อความหนาวมาเยือนโดยไม่ตั้งตัวค่ะ

ค่าใช้จ่าย
เป็นทริปที่ค่าใช้จ่ายบานปลายจากตั้งไว้ที่หกหมื่นบาทกลายเป็น 70,000 บาทเฉย งอกมาจากค่า Skydiving และค่าวีซ่าเด้อออ

รายการ ค่าใช้จ่าย (บาท)  ค่าใช้จ่ายต่อคน (บาท)
ตั๋วเครื่องบินขาไป Scoot (กรุงเทพ – Sydney) 10,628
ตั๋วเครื่องบินขากลับ AirAsia (Melbourne – กรุงเทพ) 9,212
ค่าเช่ารถ 8 วันพร้อมประกัน full cover 17,952 8,976
ค่าน้ำมัน 6,240 3,120
ค่าที่พัก 12,937 6,468
Skydiving 18,600 9,300
ค่ากินและบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ 26,490
13,245
ซิมโทรศัพท์สำหรับ 2 เครื่อง 900
450
ของฝาก
3,000
VISA 4,416
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 70,000

 

พร้อมแล้วลุยกันเลยจ้า
ทริป 9 วันของเรา อยู่ในช่วง 12-21 เมษายน 2018 มีแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวันดังนี้ค่ะ

Day 1 12-13/04 โบยบินสู่ Sydney บินจากกรุงเทพไป Sydney และเที่ยวชมในเมือง Sydney
Day 2 14/04 กลับสู่ป่าเขาที่ Blue Mountain ท่องภูเขา ชมน้ำตก
Day 3 15/04 The Grand Pacific Drive ขับเลียบทะเล ชมความแกรนด์ของมหาสมุทร Pacific
Day 4 16/04 ขับมุ่งหน้าลงใต้ ไปดูแสงสุดท้าย Philip Island ตะบี้ตะบันขับกันต่อ ห้าร้อยกว่ากิโลที่ต้องฝ่าฝันไป
Day 5 17/04 ชิดใกล้ Wildlife ที่ Philip Island ไปส่องสัตว์ป่าที่บ้านเราไม่มี อาทิ จิงโจ้ โคอาล่า แกะ เพนกวิน
Day 6 18/04 Once in a lifetime…Skydiving โบยบิน 15,000 ฟุตเหนือน้ำทะเล ท้าทายกับความกลัวที่สุดในชีวิต
Day 7 19/04 The Great Ocean Road ทะเลที่สวยกว่าในจินตนาการ
Day 8 20/04 Sovereign Hill ครั้งหนึ่งฉันเคยขุดทอง ชมประวัติความเป็นมาและวิธีการขุดทองในยุค ‘ตื่นทอง’
Day 9 21/04 ลาจากที่ Melbourne มีหนึ่งวันต้องเก็บให้ครบ เดินให้ไขมันสั่นกันไปข้างหนึ่ง

 

EP1 จะครอบคลุม Day 1 – Day 3 ค่ะ

จะเห็นได้ว่าอยู่เมืองน้อยมาก ประมาณวันครึ่ง (ครึ่งวันที่ Sydney อีกวันที่ Melbourne) ที่เหลือท่องไปในป่าเขาชายทะเลเหมด สำหรับชอบที่ชอบเมืองก็ปรับให้อยู่ในเมืองเยอะๆหน่อยก็ได้ค่ะ

ขอแนะนำตัวละครในทริปนี้ คุณสำลีเป็นช่างภาพ ส่วนฉัน… คนแบกขาตั้งกล้องของช่างภาพสำลี ไปกันอยู่สองคน คนอื่นไม่ยอมไปด้วย ทริปมันโหดไป

ลุ้ย!

Day 1 (12-13/04) โบยบินสู่ Sydney

เรื่องบิน


บรรยากาศที่สุวรรณภูมิไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แม้จะคนเยอะอยู่เพราะเป็นช่วงหยุดยาวสงกรานต์ แต่กระบวนการทั้งหมดจบได้ใน 30 นาที อาจเป็นเพราะพวกเราไปก่อน 3 ชั่วโมง (counter check-in เปิดพอดีและเราเป็นคนไทยเลยใช้เวลาไม่มากตอนผ่าน ต.ม.) พอฝ่าฟันชาวจีนไปกินข้าวที่ food court ชั้นล่างสำเร็จ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า บัตรเครดิตตรูเข้า lounge ได้นี่หว่า เวงกำ เลยรีบเข้าเกทมานั่งไฮโซจิบเบียร์รอขึ้นเครื่องใน lounge แบบโก้ๆ (ด้วยการแต่งตัวสถุลขั้นสุด เหอๆ)

พวกเราเดินทางไปออสเตรเลียด้วยสายการบิน Scoot จาก Bangkok -> Sydney ทริปนี้เป็นทริปที่แม้จะเดินทางด้วยสายการบิน low cost แต่เวลาเดินทางเริ่ดมากทั้งขาไปและกลับ เราออกเดินทางจากกรุงเทพสองทุ่มตรง แวะพักเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ประมาณ 2 ชั่วโมง และบินยาวไปโผล่ที่ Sydney ในเวลา 11:00AM ซึ่งหมายความว่าจะมีเวลาให้เที่ยวในเมืองจนถึงเย็น

นักเที่ยวจะรู้กันดีกว่า คำว่า low cost นั้นหมายถึง ต้องเสียเงินจองกระเป๋าเพิ่ม เสียเงินซื้ออาหารเพิ่ม และที่หนักที่สุดคือ ไม่มี In-flight entertainment! ฮืออออออ แต่คณะท่องเที่ยวของเรา (พูดซะเว่อร์ มีกันอยู่แค่สองคน) ได้ผ่านประสบการณ์ขึ้น S7 บินยาวไปรัสเซียโดยไม่มีอะไรทำมาแล้ว ปัญหานี้เจนพร้อมรับมือมากค่ะ จัดไปทั้งขนม หนังสือ ภาพยนตร์ สุดท้าย ไม่ได้ใช้ซักอย่าง หลับยาว (แบกไปเพื่อ?)

ต.ม. … ต่างด้าวเข้าเมือง
ใช้เวลาไม่นาน 12 ชั่วโมงพอดีพอดี ก็มาโผล่ที่ Sydney ตอน 11 โมงเช้า (ปรับเวลาให้เร็วขึ้น 3 ชั่วโมง ปกติต้องปรับ 4 เนื่องจากเป็นช่วง Daylight Saving Time – DST ของออสเตรเลีย) ก่อนเครื่องลงก็บงการให้คุณสำลีเขียนใบ ต.ม. (ควรเตรียมปากกา และที่อยู่คืนแรกในออสเตรเลียไปกรอก) เดินงัวเงียไปหา ต.ม. ซึ่งสามารถเข้าได้ครั้งล่ะเป็นกลุ่ม คือมาด้วยกันเข้าพร้อมกัน ไม่ต้องกังวลเรื่อง VISA เพราะมันจะ sync แบบ electronic มาจากไทยเลย (แต่ปริ๊นท์เผื่อมาไว้ก็ดี) พอดีแอบได้ยิน ต.ม. ทักฝรั่งคนก่อนหน้าว่าผิวแทนขึ้นนะจากรูปประกอบกับมองอย่างสงสัย เลยพยายามยืนเกร็งหน้าในเหมือนรูปในพาสปอร์ตที่สุด เหอๆ เหมือนไม่เหมือนไม่รู้ สุดท้ายก็ได้ผ่านเข้ามาเดินนวยนาดอยู่ในออสเตรเลียได้อย่างราบรื่น

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการนำพืชสัตว์ต่างด้าวเข้าประเทศ เหตุผลเพราะนางเป็นเกาะ พืชหรือสัตว์แปลกประหลาดที่นำเข้ามาอาจทำให้ระบบนิเวศแปรปรวนและสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในใบ ต.ม. ถามแม้กระทั้งว่าเอาดินจากที่อื่นเข้ามาไหม พวกเรากลัวมีปัญหามากเลยพยายามไม่เอาของกินเข้ามา แต่เพื่อนมาบอกว่าถ้ามี package ที่เป็น brand ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานก็ไม่เป็นไร โหย รู้แบบนี้จะขนขนมมาเยอะๆเพราะที่นี่แพงเหลือเกิน

เรื่องซิม
พอเข็นกระเป๋าออกมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือการซื้อซิม เพราะพวกเราต้องใช้ GPS ในการนำทาง และกลัวว่า AIS SIM2FLY จะสำแดงความง่อยอีกเหมือนตอนไปอเมริกา เลยกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้ SIM2FLY หนึ่งเครื่อง ใช้ซิมท้องถิ่นอีกเครื่อง ยี่ห้อที่แนะนำคือ Optus ค่ะ สัญญาณรุนแรงเหมาะกับผู้ที่ต้องไปตะลุยป่าเขา ราคา 20AUD ใช้ได้ 10 วัน วันละ 500 MB แถมฟรี streaming data ของ Spotify ไปฟังเพลงแก้เหงาในรถ สรุปคือราคาเท่าๆกับซื้อ SIM2FLY มาเลย (ป.ล. ใช้ SIM2FLY ที่นี่ก็เวิร์คอยู่ มีสัญญาณประมาณ 80-90% ประโยชน์ที่เหนือกว่าใช้ซิมท้องถิ่นคือถ้าไปเปลี่ยนเครื่องในกลุ่มประเทศที่รองรับ เราก็จะมีเน็ตใช้ในช่วงเวลานั้น กับไม่ต้องเสียเวลา 20 นาทีที่สนามบินต่อแถวซื้อซิม)

แลกเงิน
การมาแลกเงินที่สนามบิน Sydney เป็นเรื่องผิดมหันต์ พอดีพวกเราเหลือเงิน USD จากทริปคราวที่แล้ว กะว่าจะเอามาเป็นค่าของฝาก ถ้าแลกที่ไทยก็จะต้องเสียสองต่อ คือ USD -> THB -> AUD เลยกะว่าจะมาแลกที่ออสเตรเลีย แทบหงายหลัง เรทไม่เท่าไหร่ แต่เจอ service charge นี่สิ เลยตัดสินใจไม่แลก ใช้เงินสดที่แลกมาให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน สรุป แลกที่ superrich มาให้เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทยนะจ้ะ ค่าเงินตอนพวกเรามาอยู่ที่ประมาณ 1 AUD = 24 THB

รถเช่า
สิ่งถัดไปที่ต้องทำคือรับรถเช่าที่จองไว้ คำแนะนำทั่วไปคือควรจองมาเนิ่นๆจะต้องราคาถูกกว่า ครั้งนี้เราใช้ Misubishi ASX จองกับ Budget เจ้าเก่า ผ่าน Cheaptickets.com พร้อมซื้อประกันมาด้วย อัพเกรดกว่าตอนไปอเมริกาที่ขับแค่ Yaris หลักฐานที่ต้องเตรียมไป อันนี้สำคัญมาก ดอกจันท์ล้านดวง คือ ใบขับขี่สากล ตอนแรกเพื่อนหลายๆคนที่เคยเช่ารถที่ออสเตรเลียมาแล้วบอกว่าไม่จำเป็น ใช้ใบขับขี่ไทยได้เลย แต่พวกเราก็กันเหนียวไปทำมาก่อน สรุปคือกฎเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นตอนตอนปี 2018 นี่แหละ ต้องใช้ใบขับขี่สากลนาจา ในใจคือ เกือบไปแล้วววว ไม่งั้นได้เดินเท้าไป Melbourne แน่นอน

ส่วนเรื่อง Toll fee ที่นี่ส่วนใหญ่ยกเลิกการจ่ายแบบ manual แล้ว คือต้องมีเครื่อง E-Toll คล้ายๆ easy pass บ้านเรา ซึ่ง Budget/Avis ของที่นี่ มีติดรถเช่าอยู่ทุกคัน ค่าเช่าจ่ายคิดตามจริง + 3.30 AUD ในวันที่ใช้ ส่วนรถเช่าที่ไม่มีอย่าเพิ่งตกใจ เราสามารถผ่านด่านคิดเงินไปก่อนแล้วเข้าเว็บไปจ่าย Toll fee ที่หลังได้ที่เว็บภายใน 3 วันจ้า อีกวิธีหนึ่งในการหลีกเลี่ยง Toll fee คือตั้งค่าใน Google Maps ให้ avoid toll fee อาจจะขับอ้อมไปบ้าง แต่ก็จะหายห่วงเรื่องนี้ไปได้เลยจ้ะ

การขับรถในออสเตรเลีย ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือประเด็นการขับชน Wildlife ที่ข้ามถนน โดยเฉพาะเจ้าตัวเคลื่อนไหวเร็วอย่างจิงโจ้ (เพราะถ้าเป็นโคอาล่าหรือจระเข้ข้ามถนนตัดหน้า ยังไงก็มีโอกาสหลบทันมากว่า) ต้องสังเกตป้ายดีๆ เช่น

Source: https://www.ebay.com

ก็จะหมายถึงในอีก 14 กิโลเมตรต่อจากนี้ อาจจะมีเจ้าจิงโจ้กระโดดมาทักทาย ให้ขับด้วยความระมัดระวัง เจ้าหน้าที่จาก Budget แนะนำเพิ่มเติมอีกว่าไม่ควรขับตอนพระอาทิตย์ขึ้นและตกเพราะจะเป็นช่วงเวลา movement ของจิงโจ้ แต่เพราะตลอดทางไม่ได้เจอเลยไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงกันแน่

รับรถมาแล้วจ้า สีน้ำเงินสดใสมาเชียว คันนี้ตั้งชื่อว่า บลูเบิ้ม เพราะสีของมันและคันใหญ่กว่าที่เคยขับมา ได้มาแล้วก็ได้เวลาเที่ยวแล้วล่ะ

การเดินทางใน Sydney
ถามว่ามีรถแล้วจะเดินทางสะดวกไหมใน Sydney ต้องขอบอกว่า ลำบากมากกกก เพราะทั้ง Sydney และ Melbourne ขึ้นชื่อเรื่องที่จอดรถแพงและสับสนขั้นสุด ขนาดอ่านมาแล้วก็ยังมึน ขอยกตัวอย่างป้ายจอดรถ

Source: http://www5.austlii.edu.au

ถ้ามีคำว่า ‘ticket’ คือต้องไปเสียตังค์ซื้อ ticket ถ้าไม่มีคือจอดฟรี ‘1P’ หมายถึงจำนวนชั่วโมงที่จอดได้ ส่วน 9AM – 12NOON SAT ข้างล่างเป็นเงื่อนไขที่จะจอดได้ 1 ชั่วโมง หากพ้นเงือนไขนี่ไปก็แล้วแต่ว่าจะจอดฟรีหรือมีเงื่อนไขอื่น ส่วนค่าจอดรถถ้าในเขตเมืองก็จะอยู่ที่ 7 AUD ต่อชั่วโมง (เกือบสองร้อยบาทเลยนะเว้ยเห้ย) สับสนและแพงขนาดนี้ หลังจากขับรถออกจากสนามบินมาอย่างเท่ พวกเราเลยไปจอดแถวบ้านเพื่อนและใช้ public transportation แทนในการเที่ยวในเมือง Sydney ในวันนี้

ส่วนอาวุธที่จะต้องมีในการใช้ public transportation ของ Sydney นั้นก็คือ บัตรครอบจักรวาล ที่เรียกกันว่า Opal หาซื้อได้ตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน ใช้บัตรนี้จะลดค่าเดินทางจากการซื้อเป็นเที่ยวๆได้ถึง 20% แต่ประเด็นคือ refund คืนไม่ได้ เอาคุ้มที่สุดก็วางแผนใช้เงินในบัตรให้หมดสถานเดียว

Opera House & Harbour Bridge
วันนี้ฟ้าเปิด ติดที่ร้อนไปหน่อย (ไปจังหวะที่ Sydney โดน Heat wave กระแทกพอดี ร้อนกว่าบ้านเราตอนสงกรานต์ซะอีก) เราเดินทางเข้าเมืองแบบโก้ๆ ด้วย Ferry ไปลง CIRCULAR QUAY ถึงแดดจะแยงตาแค่ไหน แต่เราชาวไทยไม่หวั่น ขอออกไปแชะสักรูปสองรูป

วิวระหว่างทางไฉไลมาก เสียที่ร้อนตับแล่บไปหน่อย ถ่ายไปเช็ดเหงื่อไป

นั่งแบบหวานเย็น 40 นาทีก็เห็น Opera House สัญลักษณ์ของเมือง Sydney นักท่องเที่ยวแทบจะกรูกันมาถ่ายทั้งลำ ทำเอาเรือเกือบเอียง

ถึงแล้น CIRCULAR QUAY

ความโก๊ะกังอันใหญ่หลวงในครั้งนี้คือ ไม่ได้แตะบัตรที่สถานีต้นทาง (บ้านนอกมากกก) เลยไปยืนเก้ๆกังๆตรงจุดแตะบัตรออก พยายามอธิบายกับเจ้าหน้าที่ว่าหนูเพิ่งมา หนูไม่รู้วว ด้วยความที่คนที่นี่ใจดีและขี้รำคาญ เจ้าหน้าที่งานยุ่ง นักท่องเที่ยวมาถามเยอะ ประกอบกับเงี่ยหูฟังกระเหรี่ยงพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยโบกมือให้ออกๆไป เห้ยยยย ได้นั่ง Ferry ฟรีอ่ะ จริงๆต้องจ่ายตั้งคนละเกือบ 8 AUD ได้ฟรีเฉย ขอบคุณค่าคุณเจ้าหน้าที่ (ทุกคนกรุณาอย่าทำตาม เดี๋ยวกลายเป็น scheme ขายหน้าประเทศเรา จริงๆฉันไม่ได้ตั้งใจโกง แค่สถานีต้นทางที่ขึ้นไม่มีใครทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เลยเดินผ่านมาซะแบบนั้น)

ออสเตรเลียเป็นสถานที่ที่มีห้องน้ำสาธารณะบริการอยู่เกือบทุกที เช่น สถานีรถไฟใต้ดินต่างๆ ปั้มน้ำมัน และแม้กระทั่งใน Ferry ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้านแม้จะอยู่ในป่าเขาหรืออยู่กลางสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนอยู่พลุกพล่านเพียงใด ดีขนาดนี้ขาดแค่อย่างเดียวคือที่ฉีดตูด หากใครที่ไม่เคยชินกับการใช้ทิชชู่แห้งๆถูไถกับก้นนุ่มๆ กรุณาเตรียมทิชชู่เปียกจากไทยไปนะคะ พวกเราแวะเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็หันซ้ายหันขวา เจอร้านอาหาร Fast Food ที่ชื่อ Hungry Jack ซึ่งเป็น chain เดียวกับ Burger King เลยกลายเป็นมื้อแรกแบบจนๆ

ขอจดบันทึกการเดินทางเล็กน้อย ทำหน้าที่บล็อกเกอร์นิดนึง

ค่าครองชีพที่นี่บอกเลยว่าสูงทะลุปรอด ถ้าถามว่าข้าวมื้อหนึ่งประมาณเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะกินแบบไหน ในทริปนี้ 90% พวกเรากินแต่ Fast Food กับของจาก Supermarket โดยตั้งค่ากินต่อคนไว้ที่ 35 AUD ต่อวัน ถือว่ากระมิดกระเมี้ยนอยู่พอสมควร ปกติแล้วพวกเราจะซื้อ Fast Food 1 ชุด + ของกระจุ๊กกระจิ๊กเล็กน้อย ตกประมาณ 10-15 AUD ต่อสองคนต่อมื้อ (ต้องซื้อซอสจาก ถ้าไปพักในที่พักที่มีไมโครเวฟก็จะซื้อแฮม ไส้กรอก ไปอุ่นกิน กาแฟก็ใช้ซื้อจาก Supermarket เอา อัตคัตและคิดถึงอาหารที่ไทยพอสมควรเลย ถ้าใครต้องการกินอยู่ดีกว่านี้ก็ต้องเพิ่มค่าอาหารขึ้นมากกว่านี้ ส่วนน้ำสามารถกิน Tap water ได้ (แต่ฉันไม่ชินกับกลิ่นมันจริงๆ สุดท้ายก็ไปเหมาน้ำแพ็คมาจาก Supermarket ใส่รถไว้) เพื่อนบอกว่าเป็นกฎหมายของที่นี่ที่ร้านอาหารทุกร้านต้องให้น้ำดื่มใครก็ตามที่ไปขอ คือเอาขวดน้ำไปให้เค้ากรอกได้เลย อย่าไปซื้อน้ำกินในร้านสะดวกซื้อเอง (แบบที่พวกเราโง่มาแล้ว โดนไปขวดละร้อยกว่าบาท เหอะๆ)

เม้าท์มอยอยู่นาน ขอตัดภาพกลับมาที่การเดินฟันฝ่าแดดอันร้อนระอุในเมือง Sydney ขึ้นไปที่ Harbour bridge สะพานที่เห็นอยู่ลิบๆตรงนั้น

ตามป้ายที่เขียนว่า Harbour Bridge Walk ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงสะพาน

สะพานอ่ะไม่มีอะไรมากหรอก แต่สิ่งที่จะได้คือภาพ Opera House จากมุมสูง แดดแรงขนาดนี้ยังแอบมีเมฆ

ส่วนใครอยากท้าทายและมีกำลังทรัพย์ สะพานนี้เปิดให้ปีนนะจ้ะ หนึ่งในไม่กี่แห่งในโลกใบนี้ แต่ไม่ใช่ไปปีนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าน้าาา เดี๋ยวโดนจับ คือต้องซื้อบัตรขึ้นไปปีนกับ professional เด้อ ตามเว็บนี้ไปเลยจ้า https://www.bridgeclimb.com/

ต่อไป เราจะเดินเท้าไปถ่ายรูป Opera House ยามตะวันตกดิน ที่ช่างภาพสำลีนางไปหามาว่าจะไปถ่ายที่ Mrs Macquarie’s Chair ที่อยู่ใน The Royal Botanic Garden Sydney ไม่ไกลเลยสองสามโลเองงง ว่าแล้วก็เดินแบกขาตั้งกล้องร้องเพลงแก้เหงากันไป

โหยยย ไปถึงตากล้องตรึมมมม รีบไปหาที่เหมาะๆลงหลักปักฐานทันที

เดินมาตั้งหลายกิโล ขอลงหลักปักฐานถ่ายไปเรื่อยๆ

ขออีกรูปก่อนกลับ

หลังจากนี้ก็ไปเจอเพื่อนที่ Opera Bar เสียทรัพย์สินกินเบียร์ไปขวดล่ะ 200 กว่าบาท เล่นเอาเซ (เพราะแพงนะไม่ใช่เพราะเมา) อาหารเย็นวันนี้ เพื่อนพาไปกินไก่ทอดที่ Juicy Lucy ทำเอาคิดถึงบอนชอนเลย

แล้วก็นั่งรถไฟกลับไปนอนบ้านเพื่อน เย้ ในที่สุดก็ได้ใช้บัตร Opal

Day 2 (14/04) กลับสู่ป่าเขาที่ Blue Mountain

คนเหม็นเบื่อเมืองเข้าเส้นอย่างเราไม่อยู่ในเมืองนาน (แหม พูดเหมือนเป็นเด็กกรุงเทพ แต่จริงๆบ้านนอกอ่ะ เข้าเมืองแล้วมันอันคอมฟ้อร์ทเทเบิ้ล) วันรุ่งขึ้นเลยตื่นแต่เช้าเพื่อขับรถไปเที่ยวป่าเขาลำเนาไพรที่ Blue Mountain ใครจะไป Hang out ในป่าทั้งวันอย่าลืมเอาอาหารกลางวันไป picnic ที่นั่นเลย ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และอากาศดี

จาก Sydney ไป Blue Mountain สิริรวม 2 ชั่วโมง

Echo Point & Three Sisters Walk
ข้อแรกที่ต้องระวัง ที่นี่จอดรถเสียตังค์ (ประมาณ 4 AUD ต่อชั่วโมง) มีมิเตอร์ทุกจุด เงื่อนไขก็ไม่เหมือนกันให้อ่านดีๆ หากเป็นคนวันหนุ่มสาวที่ใช้เวลาถ่ายรูปพอประมาณ ทำทั้งหมดก็น่าจะชั่วโมงกว่าๆ เสียตังกดมิเตอร์แค่ชั่วโมงเดียวพอ พอกดเสร็จจะได้เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ เอาไปเหน็บไว้หน้ารถ

ไปถึง Visitor Center ก็ 11:30AM พอดี คนเป็นล้านเลย

ใครมา Blue Mountain ก็ต้องแวะดูThree Sisters ซึ่งเป็นภูเขาหินสูงรูปร่างแปลกประหลาดตั้งโด่เด่อยู่สามอันเรียงกันด้วยความสูงประมาณ 900 เมตรกว่า เล่ากันว่า Three Sisters มันเป็นตำนานรักสามเศร้า 3 หญิงสาวชาวเผ่า Katoomba ได้ตกหลุมรักกับ 3 หนุ่มแห่งเผ่า Nepean แต่ไม่สามารถแต่งงานข้ามกันระหว่างเผ่าได้ สามหนุ่มจะฉุดสาวๆไป เลยเกิดการต่อสู้ พ่อมดเผ่า Katoomba เลยเสกสามสาวให้เป็นหินเพื่อป้องกันอันตรายจากการต่อสู้ระหว่างสองเผ่าหลังสู้เสร็จคิดว่าค่อยมาถอนคำสาป แต่พ่อมดดันตายก่อน ซวยเลย


หุบเขาสีน้ำเงินไกลๆ (จริงๆก็ไม่ได้น้ำเงินมาก สะกดจิตหลอกตัวเองอยู่สักพัก) เกิดจากการปล่อยน้ำมันของป่ายูคาลิปตัส เป็นที่มาของชื่อเทือกเขา Blue Mountain

วันนี้หนาวมาก ลมพัดแรงผิดปกติ (จะมีอะไรปกติบ้างไหม เดี๋ยว Heat wave เดี๋ยวลมแรง) หนาวจนจินตนาการการเดินฝ่าไอร้อนระอุที่ตัวเมือง Sydney เมื่อวานไม่ออก ใครจะมาก็เตรียมเสื้อกันหนาวและเช็คอากาศมาดีๆจ้า

พยายามแหวกว่ายฝูงชนไปถ่ายรูปกันจนหมดแรง เอ้ย หน่ำใจ ก็ถือโอกาสไปเดิน walk สั้นๆที่ชื่อว่า Three Sisters Walk ซึ่งเป็นทางเดินที่เราสามารถเดินไปยังภูเขาหิน Three Sisters ได้ เดินไปแตะๆแล้วก็เดินกลับเพราะตอนนี้เขาปิดไม่ให้ขึ้นถาวร (คงเพราะสึกกร่อนกลัวมันพัง + นักท่องเที่ยวเป็นอันตราย)

Wentworth Falls Track
จอดรถได้ฟรีที่ Wentworth falls picnic area เลยเอาอาหารออกมาโซยด้วยความหิวโหยก่อน trek ช่วงที่เรามานี้ National Pass Track ปิดเนื่องจากหินถล่ม เลยเลือกมา track นี้แทน ระยะเวลาในการ trek ไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมง (สำหรับหนุ่มสาว) ไม่รวมเวลาที่ใช้อ้อยอิ่งนั่งดูน้ำตกอยู่ข้างล่าง

เปิดด้วยเส้นทางเรียบรื่นประหนึ่งเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ให้ตายใจ


นี่มันอะไร บันไดอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ระหว่างลงก็อดจินตนาการความหฤหรรษ์ขากลับขึ้นมาไม่ได้

ถึงน้ำตกก็ให้พอชื่นใจ ฟุ้งๆสวยๆดี

ขอน้ำตกอีกภาพ ไหนๆก็อุตส่าห์ลงไปแล้ว

สรุป เส้นทางไม่ได้ยากมาก แค่ขึ้นลงบันไดเยอะ เห็นฝรั่งแก่ๆลุงป้ามาหลายคู่ ระหว่างค่อยๆเดินลงก็ตะโกนถามเราที่เดินสวนขึ้นไป “How far is it?” เลยตะโกนตอบกลับไปว่า “Very easy. You can do it” เอาจริง เรื่องงี้มันอยู่ที่ใจ ค่อยๆไปเดี๋ยวมันก็ถึง 🙂

วิวระหว่างทางเอาไว้ปลอบใจตอนเดินขึ้นขากลับ

Scenic World
มัวแต่อ้อยอิ่งถ่ายน้ำนุ่มอยู่ที่น้ำตก กว่าจะมาถึง Scenic World ก็ 3:50PM และมันปิด 5:00PM โดยเที่ยวสุดท้ายของทุกเครื่องเล่นอยู่ที่เวลา 4:50PM เท่ากับมีเวลาเล่นแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ไม่มีบัตรขายแยก เหมาเข้ามาเลย 43 AUD เจ้าหน้าที่บอกไม่รับประกันว่าจะสามารถเล่นได้ครบ ไหงงั้น โดยเจ้าหน้าที่แนะนำการเล่นที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดให้ดังนี้

Trainway
นั่งรถไฟลงเขาที่ตัดผ่าน Orphan Rock เป็นทางรถไฟที่ชันที่สุด 52 องศา ถ้ายังชันไม่พอก็สามารถปรับที่นั่งให้ชันขึ้นเป็น 64 องศาได้ (ก่อนปรับปรึกษาเพื่อนก่อนนะ)


เหมือนจะเสียวแต่ไม่ นั่งไปสบายๆ ลงไปยังหุบเขา Jamison Valley


ลงเขามาเดินที่ Scenic Walkway 10 นาที เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเหมืองแร่ทองคำในอดีต


Cableway
เดินมาขึ้น Cableway กลับขึ้นเขา ผ่าน Orphan Rock ที่รถไฟแล่นลงมาเมื่อกี้


ที่เรียก Orphan Rock หรือหินกำพร้า (อันนี้แปลเอง ชื่อน่าเกลียดเชียว) เพราะมันอยู่อันเดียวไม่ได้อยู่สามหน่อเหมือน Three Sisters


Solitary Mountain หรือภูเขาที่โดดเดี่ยว เหมือนเดิมเพราะมันอยู่อันเดียวเลยตั้งชื่องี้


Skyway 
เป็นแคปซูล พาเราข้ามเขาไปกลับ มาออกจะแกว่งนิดๆเพราะลมแรง วิวสวยปกติไม่ได้เว่อร์วังอลังการอะไรมาก


ข้างในกรุด้วยกระจกใสเพื่อจะได้เห็นวิวกันชัดๆ

โดยรวมคือความสนุกให้ 3 เต็ม 10 ไม่ได้ถือว่าผิดหวังอะไรแต่เมื่อเทียบกับค่าเข้าแล้วก็เศร้าเล็กน้อย ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลยยยยย

วันนี้เพื่อนพาไปกิน Hot Pot แบบเลือกตัก โหย อร่อยอ่ะ (อร่อยที่สุดในทริปแล้วมั้ง) ไม่แพงด้วย กินจนพุงกางแล้วก็กลับไปนอนบ้านเพื่อนเหมือนเดิม


ภาพสาวชาวลาวเพื่อนรักที่เอื้อเฟื้อสถานที่พักใน Sydney 2 คืนและอาหารอีกมากมาย ขอบใจนะจ้ะ

Day 3 (15/04) The Grand Pacific Drive

วันนี้ขับกันยาวๆเกือบ 500 กิโล ขับเลียบมหาสมุทร Pacific ไป เท่ซะไม่มี

Bald Hill look out
ปกติที่นี่เป็นที่สำหรับเล่น Han gliding (เครื่องร่อน) แต่ก็คงเพราะลมยังแรงแถมพัดออกทะเล (ปกติจะพัดเข้า) ต่อเนื่องก็เลยไม่เห็นเครื่องร่อนซักตัว โชคดีจริงๆที่วันนี้ฟ้าใสเพราะ วิว สวย มว๊ากกกกกก


มองไกลๆจะเห็นสะพานโค้งหงึกหงัก นั่นคือทางที่เราจะไปต่อ สะพานนี้เรียกว่า Sea Cliff Bridge

ลมแรงมากจนพัดแว่นตากันแดดลงเหวไปต่อหน้าต่อตา น้ำตาจิไหล กัดฟันซื้อมาตั้งหลายพันนนนนนนนนนนน

Sea Cliff Bridge
ซับน้ำตา แล้วขับไปต่อตามทางอีก 15 นาทีก็จะถึงสะพานหยึกหยือที่ยาวถึง 455 เมตร ให้ขับผ่านสะพานมาก่อน จะมีถึงจอดรถทั้งซ้ายและขวามือ เดินหยีตาฝ่าแดดอยู่แค่ต้นๆสะพานถ่ายมาได้หลายรูปแล้ว

Kiama Lighthouse/Blow Hole
ขับตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1 หรือ Pacific Highway ไปต่อที่เมือง Kiama หรือที่คุณสำลีเรียกว่าขี้หมา (เอาซะเสีย) ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งเพื่อไปดู Blow Hole ซึ่งเป็นน้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งและพุ่งขึ้นผ่านรูหิน ซึ่งน้ำสามารถพุ่งสูงได้ถึง 60 เมตร แต่ทว่าวันนี้ลมพัดออกฝั่งไง ซักเมตรยังไม่เจอเลย ฮืออออ

ปีนป่ายหินไปถ่ายอย่างอื่นละกัน มี lighthouse ด้วย

อาชีพเสริมเป็นพริตตี้ขายรถอ่ะ

แวะรับประทานอาหารกลางวันกลางเมืองนั้นเลย Red Rooster ชุดนี้ จัดไป 20AUD แพงงงงงงง

อิ่มแล้วก็ได้เวลาขับต่อแบบยาวๆ สภาพ Highway บ้านเค้า แหวกป่ากันทีเดียวเชียว

Sunset ที่(เกือบถึง) Bermagui
ขับต่ออีก 250 กิโลจะถึงเมืองที่ชื่อว่า Bermagui ซึ่งเป็นเป้าหมายในการถ่าย Sunset แต่น้ำมันใกล้จะหมดถังเลยขอแวะเติมน้ำมันกันก่อน

ปั๊ม classic ได้อีก

เติมครั้งแรก 1.389/ลิตร เติมไป 50.65 ลิตร เดาว่าเต็มถังอยู่ที่ประมาณ 70 ลิตร ถ้าเป็นที่อเมริกาต้องเข้าไปบอก station และจ่ายเงินก่อน ส่วนที่นี่เติมก่อนแล้วขับหนี เอ้ย ค่อยไปจ่าย เลยเติมเต็มถึงทุกครั้งไป ปกติน้ำมันจะอยู่ที่ 1.4 – 1.45 ถ้าจะต่ำกว่านี้ถือว่าถูก

ช่วงที่ไปพระอาทิตย์ตกตอน 5:30PM ขับแบบดอม fast 7 ยังไงก็ยังไปไม่ถึง Bermagui เลยหยุดถ่ายแม่งเลย ทะเลสาบที่ไหนไม่รู้ สวยดี

เหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศซักแห่ง

[Airbnb] บ้านลุง David ที่ Eden
หลังจากนั้นก็ต้องขับรถอีกร้อยกว่ากิโลท่ามกลางป่าเขาเพื่อเข้าที่พักแบบ Airbnb ในคืนนี้ ที่เลือก Eden เพราะว่าอยู่ตรงกลางระหว่างระยะทางจาก Sydney กับ Melbourne พอดิบพอดี (ทั้งหมดประมาณพันกว่า แบ่งขับ 2 วัน วันละ 500 กิโล) มาถึงเมือง Eden ตอนทุ่มกว่าๆ เมืองมืดจนร้างเหมือนในหนังเรื่อง Resident Evil ที่นางเอกตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใคร ขับไปหาของกินใน supermarket ชื่อดัง Woolsworth ที่มีสาขาอยู่ทั่วออสเตรเลียกับนวัตกรรมรถเข็นตะกร้าที่พวกเราเข็นเล่นอย่างเมามัน

กินเสร็จก็เข้าพักบ้านลุง David ในราคาย่อมเยาว 2103.98 THB

มีโซนเป็นของตัวเอง ประกอบด้วย ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน (ซึ่งจริงๆมี 2 ห้อง แต่วันนี้มีพวกเราพักเพียงห้องเดียว) ห้องน้ำ บ้านสะอาดสะอ้าน และ David ก็เป็นกันเองมากกกก ส่งภรรยาชาวฟิลิปปินส์มาสอนใช้เครื่องซักผ้าอีก

ใครสนใจตามลิงค์ไปได้ https://www.airbnb.com/rooms/9825796

 

คลิ๊กเพื่อติดตาม EP 2 (Day 4 -Day 6) https://wp.me/p6REJW-1e8

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*