TOEFL IBT ก้าวแรกของการไปเรียนต่อต่างประเทศ

เนื่องด้วยฝันไว้ตั้งแต่เล็กๆว่าอยากไปเรียนต่างประเทศ แต่มิมีทุนทรัพย์ จึงจำเป็นต้องแข่งขันเข้าชิงทุนกับคนเก่งทั้งหลาย และปราการด่านแรกก็คือการสอบ TOEFL นั่นเอง (สำหรับคนที่อยากไปเรียนที่อเมริกา)

พอสอบเสร็จก็โล่งงงงงงงงงงง นึกเสียดายว่าน่าจะสอบตั้งนานแล้ว มัวแต่ปอดแหก อยากจะแชร์ว่า อย่าไปกลัว ข้อสอบ…ยากอย่างที่คิด แต่ของอย่างงี้มันอยู่ที่ใจ สู้ไปเลย

หลังจากเตรียมตัวมาแสนนาน ได้เงินสนับสนุนจากแม่ไปเรียนคอร์สติวเข้ม TOEFL อันแสนแพงมาตั้งแต่เรียนอยู่มหาลัยปี 2 อ่านๆหยุดๆมา 3 ปี ฉันก็ตัดสินใจสอบ (ได้ซะที)

ลักษณะข้อสอบ
ข้อสอบจะแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ reading, listening พักเบรค 10 นาทีและต่อด้วย speaking และ writing ตามลำดับ ใช้เวลาสิริรวมทั้งสิ้นประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นการสอบที่ทรหดที่สุดในชีวิต

การเตรียมตัว
จริงๆฉันเตรียมตัวไม่ค่อยดี เผอิญว่าทำงานเลิกค่อนข้างดึก เลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว (ข้ออ้างทั้งนั้น) เคยไปอ่านคำแนะนำในเว็บ pantip ว่าต้องสมัครสอบก่อนแล้วจะมีแรงอ่านเอง ฉันจึงตัดสินใจสมัครเลย กำหนดวันไปเรียบร้อย รู้ตัวอีกที เหลือเวลาอีกแค่เดือนครึ่ง กรี๊ดดดดดดดดดด ตั้งแต่นั้นเลยทำข้อสอบอย่างเดียวเท่าที่เวลามี

จากประสบการณ์การเตรียมตัว 3 ปี สิ่งที่ไม่ควรทำในการเตรียมสอบ TOEFL คือ

  • ไม่ควรเริ่มต้นซื้อหนังสือยากเกินไป ตอนแรกฉันไม่ได้หาข้อมูลไปก่อน ไปถึงร้านหนังสือก็คว้าหนังสือของ Barron’s เลย เพราะน่าปกสวย มาค้นพบทีหลังว่าค่อนข้างยากกว่าข้อสอบ ใจเลยฝ่อตั้งแต่เริ่ม
  • ไม่ควรบ้าซื้อหนังสือจนเกินความจำเป็น ทำให้เสียเงินและเสียเวลาอ่าน ฉันเสียเงินไปกับหนังสือเยอะมาก บางเล่มก็อ่านแล้วไม่เวิร์ค เสียดายเงินมาก แนะนำให้ศึกษาก่อนจาก internet หรือถามเพื่อนที่เคยสอบว่าเล่มไหนดี (ที่ควรมีแน่ๆคือของ ETS เพราะเป็นผู้ออกข้อสอบ) แล้วหา(โหลด) โปรแกรม software มาทำข้อสอบ เริ่มฝึกกับคอมแต่เนิ่นๆดีกว่าค่ะ จะได้ชิน (ภาพข้างล่างแสดงหนังสือของ ETS ที่จำเป็นต้องมี)
    images (1)
  • ไม่ควรปอดแหกจนกระทั่งไม่กล้าเริ่มอะไร สองปีแรกฉันฝึกแต่ reading  กับ listening ด้วยความที่เปิดไปเจอ speaking และ writing ที่ทั้งยาก และมีเวลาจำกัด  เลยกลัวที่จะเริ่ม เพิ่งจะมาฝึกจริงๆจังๆเดือนสองเดือนสุดท้าย เป็นที่มาของคะแนนเหลวเป๋วใน 2 ส่วนหลัง ตอนที่เริ่มฝึกครั้งแรก ก็คิดว่า จริงฉันก็(พอ)ทำได้นี่หว่า น่าจะฝึกตั้งนานแล้ว
  • ไม่ควรเสียเวลาหา pattern เทคนิคการทำข้อสอบด้วยตัวเอง คนอื่นเค้าสรุปไว้แล้วใน internet แค่รู้จักประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเราก็พอ ฉันมัวแต่เสียเวลาหาเทคนิคนู่นนี่อยู่นาน สุดท้าย ได้ทั้งหมดจาก internet ภายในอาทิตย์เดียว เว็บพวก youtube pantip มีทั้งนั้น pattern การพูด  การเขียน สอบที่ไหนดี มีหมด
  • ไม่ควรอ้างว่าไม่มีเวลา เพราะถ้ามันสำคัญพอ เดี๋ยวจะมีเวลาเอง ฉันทิ้งการอ่านการฝึกฝนตั้งแต่เริ่มทำงาน อ้างว่าไม่มีเวลา ปรับตัว สุดท้ายต้องมารื้อกันใหม่ อนาถใจที่สุด

สำหรับเพื่อนๆที่กำลังเตรียมสอบ อยากแนะนำเทคนิคการเตรียมสอบเป็นส่วนๆดังนี้

  1. Reading
    > นอกจากข้อสอบในหนังสือเตรียมสอบอันแสนน่าเบื่อ (ที่ยาวแถมบางทียังไม่ตรงสายที่เรียนมา ซึ่งจริงๆเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ไว้ ในกรณีฉัน เรียนวิศวะแต่ตอนสอบเจอบทความที่เกี่ยวกับ literature และ history ทั้งนั้น ดังนั้นน่าเบื่อ อ่านไม่รู้เรื่อง ก็ต้องฝืนทน) ลองหา content ภาษาอังกฤษเจ๋งๆ ที่ตัวเองสนใจอ่านดู ฉันแนะนำให้ลองอ่าน Harvard Business Review สำหรับคนที่สนใจธุรกิจและการพัฒนาตนเองในที่ทำงาน (http://hbr.org/)สำหรับผู้ใช้ smart phone (ซึ่งน่าจะแทบทุกคนแล้วสมัยนี้) ลองดาว์นโหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “Flipboard” มาลองเล่นดูได้ (https://flipboard.com/) สไสด์อ่านระหว่างยืนห้อยโหนบน BTS ก็เกร๋เท่ไปอีกแบบ
    > การบริหารเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หลายๆที่จะแนะนำให้ skim & scan คืออ่านทั้งหมดของ paragraph แรก สองบรรทัดของแต่ละ paragraph ที่เป็นเนื้อหา และ ทั้งหมดของ paragraph สุดท้าย สารภาพว่าฉันทำไม่ได้ จับเนื้อหาอะไรไม่ได้เลยด้วยวิธีนั้น จะให้อ่านทั้งหมดแล้วมาตอบก็จำ detail ไม่ได้ สิ่งที่ฉันทำคือ อ่านทีละ paragraph แล้วตอบทีละข้อไล่ไปเรื่อยๆ เพราะข้อสอบจะเรียงตามเนื้อหาในบทความอยู่แล้ว แนะนำให้ลองหลายๆแบบแล้วเลือกแบบที่เหมาะกับตัวเอง
  2. Listening
    > ส่วนนี้หนังสือของ Barron’s ช่วยได้เยอะ เพราะพูดเร็วกว่า ใช้คำยากกว่า เรื่องสับสนกว่า จดแทบไม่ทัน ต้องมีสมาธิตลอดเวลา พอมาทำในหนังสือของ ETS ซึ่งเหมือนกับข้อสอบจริงเลยทำให้รู้สึกไม่ยากมากนัก (ภาพข้างล่างแสดงปกหนังสือของ Barron’s)
    1381679290-1333635576-o
    > ในบางขณะที่ไม่สามารถฝึกอ่านได้ เช่น ขับรถอยู่ หรือ เดินอยู่ ลองดาว์นโหลด podcast เกี่ยวกับเรื่องที่น่าสนใจฟังดู ฉันว่าช่วยได้ไม่มากก็น้อย
  3. Speaking
    > สิ่งที่ดีสุดคือขนข้อสอบออกมาทำ โดยเฉพาะ speaking ข้อที่ 1 และ 2 ที่เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัว ตั้งเป้าไว้ว่า ต้องตอบให้ได้ หวดให้เต็ม
    > จำ collocation ไปเยอะๆ เช่น broaden my horizons (เท่ซะ จำได้คำเดียว) อันนี้เป็นสิ่งที่ฉันต้องจำ ต้องฝึกใช้เพิ่มเหมือนกัน
    > เตรียม pattern ไปก่อน ลองเข้า youtube แล้ว search คำว่า “notefull toefl” อาจช่วยได้
    ในส่วนนี้ ฉันทำคะแนนได้ไม่ค่อยดีนัก กะว่าจะฝึกเพิ่มเยอะๆแล้วค่อยไปสอบใหม่อีกครั้ง
  4. Writing
    > หา pattern จากหนังสือเล่มต่างๆที่เคยอ่านมาแล้วรวบรวมไว้ ส่วนนี้ต้องฝึกอย่างเดียว ฉันทำโจทย์น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยข้อช่วยได้ค่อนข้างเยอะ เพราะมันจะทำให้คิดได้เร็วขึ้น idea เยอะขึ้น
    > เรียนรู้ เข้าใจ จำ และฝึกใช้ grammar ให้คล่อง ควรจะใช้ tense และกฎหลักๆ เช่น if ให้ถูกต้อง ไม่ได้ช่วยเรื่องสอบอย่างเดียว แต่สามารถพัฒนาการเขียนที่ใช้ทั่วไปได้ด้วย

เลือกสถานที่สอบ
จริงๆเรื่องนี้แล้วแต่ว่าอยากจะเน้นเรื่องไหน (หา review อ่านได้ไม่ยาก) บางคนเน้นใกล้  เดินทางสะดวก มีที่จอดรถ เจ้าหน้าที่ใจดี บางคน(รวมทั้งฉัน)เน้นเสียงรบกวนน้อย จึงเลือกสอบที่มหาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า

เขาบอกกันว่าควรไปดูสถานที่กันพลาด กันหลง เพราะมหาลัยนี้มีสองที่ คุณแม่ที่น่ารักก็ลางาน พาไปดูสถานที่ด้วยกันก่อน ปรากฎว่าไปถูกตั้งแต่ต้น จริงๆไปไม่ยาก แต่อยากชัวร์ไปดูก่อนก็ดี วันจริงจะได้ซิ่งตรงไปเลย ลดความเครียด

วันสอบ (29 กันยา 2556)
เนื่องจากฉันเป็นโรคนอนไม่หลับเวลาเครียดหรือตื่นเต้นจัด วันก่อนสอบเลยซัดยานอนหลับของพ่อไป (ปกติคิดว่าหาซื้อไม่ได้ ต้องหมอสั่งเท่านั้น) วันจริงดันตื่นเร็ว ตั้งแต่ตี 5 ง่วงอยู่ดี

สิ่งที่ไม่ควรทำในวันสอบมีดังนี้

  • ไม่ควรไปถึงเช้าเกิน เพราะจะรอเหง็กจนเบื่อ กว่าเจ้าหน้าที่จะมาจริงนี่เกือบ 9 โมง กว่าจะสอบจริงนี่เกือบ 10 โมง ไปถึงก่อนเวลาซักครึ่งชั่วโมง 15 นาทีนี่  perfect
  • ไม่ควรไปต่อแถวเข้าห้องสอบหลัง native speaker ตอนฉันสอบดันไปนั่งใกล้ๆคนเกาหลีที่เรียนในโรงเรียนอินเตอร์ มาตลอดชีวิต เลยได้นั่งติดกัน ถึงคราว speaking ข้าพเจ้าเด็กโรงเรียนวัดมีจ๋อย เพราะเขาจะพูดรัวและดังด้วยความมั่นใจ มันทำลายศักยภาพในการพูด ณ จุดๆนั้นอย่างแรง
  • ไม่ควรกินน้ำไปเยอะ ฉันชอบกินน้ำแก้วใหญ่ตอนตื่นนอน ผลลัพธ์คือ ขนาดว่าเข้าห้องน้ำก่อนสอบแล้วยังอั้นแทบตายตอน listening แบบว่าปวดสุดๆไปเลย
  • ไม่ควรใส่ขาสั้น หรือลืมเสื้อกันหนาว ผลสอบอาจวิบัติได้ เพราะมันหนาวขั้นหมีขั้วโลกอิจฉา ถึงขนาด take note ได้ช้าลง 30% มีถุงเท้าใส่ถุงเท้า มีถุงมือใส่ถุงมือ ทำอะไรก็ได้ให้อุ่นๆไว้
  • ห้าม! ท้อแท้ใจ ฉันทำ reading ไม่ค่อยทัน เพราะไม่ชินกับเสียงรบกวน (ขนาดว่ามีนิดเดียว) เลยรีบๆตอบข้อท้ายๆ ตอนนั้นใจหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะ reading เป็น part เก็บคะแนน แต่ก็คิดว่าช่างมัน ไม่ท้อ ท่องไว้
  • ห้าม! กด No ไม่รับ  score ตอนท้าย ดีที่มีคนเตือนก่อนเข้าห้องสอบ เพราะเขากดมาแล้ว มันเป็นการ cancel ผลคะแนน สอบได้เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ถึงปัจจุบัน ดังนั้นปลอดภัยสุดคือกด yes รัวๆ

ช่วงที่รอคะแนน
อนุญาตให้ตื่นเต้นเต็มที่ แต่ไม่ควรโรคจิตเช็คเมล เช็คเว็บ ETS บ่อยๆเช่นฉัน ประชุมกับลูกค้าก็เช็ค รอ BTS ก็เช็ค เจ้านายด่ายังเช็ค ไม่จำเป็น ผลมันจะมาอีก 10 วัน ไม่ขาดไม่เกิน วันที่ 9 ค่อยเริ่มเช็คยังไม่เสียหลาย

ผลคะแนน
ทาดาาาาา ในที่สุดมันก็มา คะแนนของฉันในการสอบครั้งแรกคือ
reading = 29, listening = 30, speaking = 23, writing = 27; total = 109

speaking นี่ง่อยมาก เศร้าแป๊บ อ่าน comment ของกรรมการก็จริงตามนั้น เพราะถึงฉันจะพูดครบ พูดพอดีเวลา แต่ศัพท์กับคำที่ใช้มันจำกัดมาก สิ่งที่เรานึกได้ถ้าต้องสอบครั้งต่อไปคือท่อง collocation กับ vocab ไปเยอะๆ เพราะต้องยอมรับว่าไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษ เรื่องนี้ก็ต้องฝึกให้มากขึ้นเป็นธรรมดา 

ขั้นต่อไปคือการชิงทุนและสมัครมหาลัยที่ต้องการ คะแนน TOEFL จะอยู่ได้แค่ 2 ปี ถ้าใช้หลังจากนั้นก็ต้องสอบใหม่

สำหรับใครที่จะไปสอบหรือคิดจะสอบขอเป็นกำลังใจให้ ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้จบนอก เรียนอินเตอร์ หรือมีเวลาอ่านหนังสือเยอะๆ (เพราะต้องทำงาน ไม่งั้นไม่มีเงินใช้) ใจต้องสู้ คิดซะว่า เราทำได้อยู่แล้ว

14 comments

  1. พี่สอบครั้งแรก คะแนนสูงมากกกเลยค่ะ
    สุดยอดดดดด !!!

  2. ช่วยแนะนำ การเขียน writing หน่อยได้มั้ยคะ สอบกี่ครั้งก็ได้แค่ 19ค่ะ อยากไปลงคอรส์เรียนแต่ อยู่ต่างจังหวัดค่ะ ไม่มีที่ติวเข้มเหมือนใน กทม ช่วยให้คำแนะนำหน่อยนะคะ

    • เราฝึกด้วยตัวเองเหมือนกันค่ะ ไม่ต้องอาศัยติวเข้มก็ได้ อย่างแรกเลยแกรมม่าต้องแน่นค่ะ แล้วค่อยไปหา structure การเขียนและ phrase ที่ใช้บ่อยๆ เช่น First of all, In my opinion, From my point of view, broaden my horizon etc. ท่องศัพท์ๆ แล้วเอาข้อสอบมาลองทำแบบจับเวลาดู จะให้ดีต้องหาคนตรวจให้ด้วยค่ะ (แต่เรายังหาไม่ได้ TT ก็พยายามด้วยตัวเองไปก่อน) คร่าวๆก็ประมาณนี้

  3. ขอบคุณมากๆนะคะ จะลองพยายามใหม่ดูซักตั้ง

  4. อ่อ ตอนนี้มี หนังสือ writing ของ Barron’s ค่ะ พยายามดู sample การตอบ มีหนังสือเล่มอื่นแนะนำมั้ยคะ ขอบคุณค่า

    • ใช้ของ Barron เหมือนกันค่ะ อีกทางคือลอง search หาเทคนิคตาม youtube เราจำไม่ได้แล้วว่าดูของใคร แต่ช่วยได้ดีเหมือนกัน

  5. ขอบคุณมากๆนะคะ

  6. ผมจะสอบเดือนกุมภานี้ กำลังท้อจากการฟังหนังสือของ Barron โคตระยาก มาเจอกระทู้นี้ทำให้มีแรงฮึดขึ้นมา ขอบคุณมากครับ

  7. พี่ครับ ถ้าผมอยากจะเขียนบล็อคหรือเว็ปคล้ายๆอย่างพี่นี่ต้องทำไงบ้างครับ

    • ใช้ blog ที่มีให้ free ก่อนก็ได้ค่ะ พวก wordpress.com หรือ bloggang จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่า servernn1

  8. พี่คะช่วยแนะนำตัวช่วยเรื่อง reading หน่อยได้ไหมคะ คือทำไม่ได้เลยอะค่ะ ไม่รู้ศัพท์เลย ไม่รู้เรื่องเลยว่าเค้าเขียนอะไร มีหนังสือหรือเว็บอะไรที่บอกศัพท์ที่จะออกไหมคะ ช่วยทีค่ะ ขอแบบ2อาทิตย์ได้

    • แนะนำว่าให้เอาเรื่องที่อ่านไม่รู้เรื่องนั่นแหละค่ะ มาแปลทีละคำจนอ่านออก พออ่านออกเรื่องหนึ่งก็จะอ่านออกเรื่องต่อๆไปค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*