My Cotton Returns, Singapore – Malaysia ตอนที่ 3: ท่องมะละกา ศึกษาเมืองมรดกโลก

3 พ.ย. (มะละกา ->กัวลาลัมเปอร์(นอนค้าง))

วันนี้ตื่นเช้าอย่างสดใส พร้อมออกชมเมืองมรดกโลก ฟ้าฝนเป็นใจมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะถึงจะเป็นหน้าฝนของที่นี่ แต่แดดก็ร้อนเปรี้ยงอย่างสม่ำเสมอ อาบเหงื่อต่างน้ำกันเลยทีเดียว

ออกมาถามหาสถานที่กินข้าวเช้ากับพนักงานต้อนรับของโรงแรม ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของด้วย เค้าก็ยิ้มแย้มใจดี แนะนำให้ไปกินร้านหัวมุมถนนยองเกอร์ ซึ่งจากรูปคือตึกสีแดงทางซ้ายมือ แต่พอเดินไปสายตาเหลือบไปเห็นร้านข้าวมันไก่ลูกบอลข้างๆ แล้วจำได้ว่าเป็นร้านที่ถูกรีวิวในพันทิปว่าอร่อยที่สุดในมะละกา อาจจะยังเช้าอยู่ เลยไม่มีคิวยาวยืดเหมือนที่เคยเห็นในรูป เลยเลี้ยวเข้าทันใด

DSC03555

หน้าร้านแบบชัดๆ Kedai Kopi Chung Wah

DSC01029

เข้าไปถึงก็ถามว่ามีอะไรขายบ้าง คนขายบอกมีข้าวมันไก่อย่างเดียว จะเอาไหม แล้วก็เดินจากไป ดูยุ่งมาก ไอเราก็เอาสิจ้ะ หิวแล้ว จัดมาสำหรับ 2 คนเลยพี่

มาดูสภาพไก่กันก่อน จัดมาให้แบบนี้ มันๆ แฉะๆ เหนียวๆ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับไก่สิงคโปร์ แค่บ้านเรายังสู้ไม่ได้

DSC01024

ข้าวมันไก่ลูกบอล ข้าวมันจะเละไปไหน เค็ม มัน เลี่ยน กินบวกกับไก่นี่ เลิกเหอะ อร่อยที่สุดในมะละกา Are you kidding me?

DSC01026

น้ำ จืดมาก เหมือนแช่น้ำแข็งทิ้งไว้แล้วน้ำแข็งมันละลายมาเป็นชั้นของน้ำลอยอยู่ แต่ก็ถือว่าอร่อยที่สุดในทุกอย่างที่สั่งมา

DSC01023

ค่าอาหารโดนไป 27 rm แพงแทบสะดุ้ง เลี่ยนจนกินไม่ไหว เหลือเกินครึ่ง ไม่อร่อยแล้วยังแพง ใครไปมะละกา แนะนำไปเสี่ยงตายร้านอื่นค่าาา

ยืนทำใจอยู่หน้าร้าน 2 วิ ก็ได้เวลาลุยต่อ วันนี้ตารางค่อนข้างแน่น ต้องทำเวลาพอสมควรเพราะจะต้องต่อรถไปกัวลาลัมเปอร์ตอนบ่าย เลยจะมีเวลาเที่ยวในตัวเมืองมะละกาแค่ 3 ชั่วโมง

มาศึกษาประวัติของเมืองนี้กันก่อน มะละกา หรือเรียกว่า Melaka (ภาษามาเลเซีย) หรือ Malacca (ภาษาอังกฤษ) เป็นเมืองท่า ที่ตั้งเหมาะแก่การค้าขาย แรกเริ่มจีนเข้ามาทำการค้าขายด้วยเรือสำเภา ตามด้วยอินเดีย ต่อมาในยุคล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเชีย โปรตุเกสเข้ามาครอบครองนานถึง 130 ปี ในปี ค.ศ. 1640 ฮอลันดาก็เข้ามายึดมะละกาจากโปรตุเกส ต่อมาฮอลันดาแพ้สงครามต่อฝรั่งเศส จึงยกมะละกาให้กับอังกฤษ เพื่อกันไม่ให้ฝรั่งเศสมามาครอบครองมะละกา

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้คืนเอกราชให้กับมาเลเซีย วันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957 วันนี้วันที่ประวัติศาสตร์ชาติมาเลเซียต้องจารึกไว้ มาเลเซียไม่ต้องขึ้นกับประเทศใดๆ แล้ว การประกาศเอกราชมีขึ้นที่เมืองมะละกา บริเวณหน้าอาคาร Proclaimation of Independence Memorial

ด้วยเหตุนี้ มะละกาจึงเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมและศาสนาจากหลากหลายชนชาติ UNESCO ประกาศให้ มะละกา เป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2008 ทำให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวมะละกากันมากขึ้น

ก่อนจะเที่ยว ต้องเดินเข้าไปขอแผนที่เดินชมเมืองก่อนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแถว Dutch Square ก่อนเป็นอันดับแรกเด้อออ

DSC01032

ได้แผนที่มาแล้วววว

DSC03561

แต่ขอเอาจากอินเตอร์เน็ตมาให้ดูชัดๆกันนะคะ

Image

Source: www.emagtravel.com

เริ่มที่เบอร์ 1 กันเลย Dutch Square เมื่อวานมาแล้วแต่ตอนค่ำ เดี๋ยวถ่ายรูปแล้วไม่เห็นคุณสำลีละยุ่งเลย 😛

Dutch square หรือ จตุรัส ดัทช์ เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ตั้งแต่สมัยมะละกาถูกปกครองด้วยฮอลันดา (ฮอลแลนด์) สิ่งก่อสร้างในย่านนี้จะทาด้วยสีแดง สถานที่สำคัญในย่านนี้ได้แก่

  • โบสถ์คริสต์มะละกา (Christ church Melaka) สร้างด้วยอิฐที่นำเข้ามาจากฮอลันดา แล้วฉาบด้วยสีแดง โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1741 และเสร็จในปี 1753 รวมใช้เวลาสร้าง 12 ปี
  • น้ำพุหน้าโบสถ์ สร้างในปี ค.ศ. 1904 เป็นน้ำพุที่ทำจากหินอ่อน ชาวมะละกาสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี ของพระราชินีวิคตอเรีย ประเทศอังกฤษ
  • หอนาฬิกาสีแดง สร้างในปี ค.ศ. 1886 โดยคหบดีชาวจีน ชื่อ ตันกิมเส็ง

DSC01033

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี่คือสามล้อคิขุ เป็นสามล้อที่ประดับตกแต่งอย่างน่ารัก หวานแหวว ซึ่งไม่ค่อยเข้ากับหน้าตาคนขับเท่าไหร่นัก ตอนกลางคืนจะเปิดเพลงเปิดไฟวิบๆแข่งกัน  เป็นสีสันของที่นี่อย่างหนึ่ง

มีโบกไม้โบกมือให้กัน เดาว่าที่นี่เมืองเล็กๆคนเลยค่อนข้างรู้จักกันทั่วถึง

DSC01038

ยังเช้าอยู่ ไม่ค่อยมีแดด พวกเราเลยตัดสินใจไป เบอร์ 9 นั่งเรือเที่ยวชมมะละกา (Maleka River Cruise) กันก่อน

จาก Dutch Square ข้ามถนนไปริมคลอง จะผ่านโครงสร้างอะไรซักอย่าง เดาว่าเป็นกังหัน แปลกตาดี

DSC01040

เดินเลียบคลองไปทางเดียวกับที่จะไปพิพิธภัณฑ์เรือเรื่อยๆ บรรยากาศกำลังสบายๆ ชิลๆ จะเห็นท่าเรืออยู่ตรงเต็นท์สีฟ้าลิบๆ

DSC03571

ไว้อาลัยให้กับ MH17 เหยื่อสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

DSC03576

หาท่าเรือเจอแล้วก็จัดการซื้อตั๋วเลยค่า ผู้ใหญ่คนละ 15 rm ถ้ามี MY Card จะเหลือแค่ 10 rm -.- พวกเรามารอตั้งแต่ 9 โมง นับว่าเป็นรอบเช้าสุดกันเลยทีเดียว

Operating hours: 9:00 – 23:30

DSC03577

รอไม่นาน เรือก็มาเทียบท่า

DSC01073

ขึ้นเรือได้ขอจองหัวเรือก่อนเลย แต่มีไปแค่ 3 กลุ่ม เรือเลยโล่งๆ สบายๆ

DSC03585

วิวไม่ได้หวือหวา แต่สะท้อนวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำได้ดียิ่งนัก มีบ้านเรือนเรียงราย โบสถ์ โรงเรียน ร้านค้า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว บ้านส่วนหนึ่งถูกแปลงสภาพเป็นโรงแรมบูติกเล็กๆ คาเฟ่ หรือผับบาร์

DSC03588

มีการวาดรูปแนวๆ อาร์ตๆ ไว้ตามกำแพงบ้านเรือน บ้างก็เป็นรูปดอกไม้ ภูเขา ธรรมชาติทั่วไป บ้างก็เป็นวิถีชีวิต เป็นรูปหญิงชายแต่งกายมิดชิดตามธรรมเนียมของศาสนาอิสลามในอิริยาบถต่างๆ

DSC01054

ผ่านสะพานแปลกๆ และชิงช้าสวรรค์อันจุ๋มจิ๋ม เดาว่าคงไม่ได้ใช้งานแล้ว ดูร้างๆชอบกล

DSC01062

เรือมาสุดทางแถวๆสถานีรถราง ดูเก่ามาก จะมีคนขึ้นหรือเปล่า เพราะนั่งเรือมันฟินกว่าเยอะ

DSC01064

ขาไปเพลงประกอบฮิพฮอพมาก ประมาณเลดี้กาก้า ตื๊ดๆ ไม่เข้ากับบรรยากาศเอาซะเลย พอวกกลับถึงเปิดเทปบรรยายเป็นภาษามาเลย์สลับกับอังกฤษ ฟังออกบ้าง ฟังทันบ้าง แต่ดีกว่าฮิพฮอพเยอะ

รวมเวลาล่องเรือทั้งสินประมาณ 45 นาที คุ้มค่าทีเดียว

เราจะไปต่อกันที่ เบอร์ 5 พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Melaka Maritime Museum) มองเห็นได้แต่ไกล พิพิธภัณฑ์เรือสำเภาที่จำลองมาจากเรือสำเภาฟลอเดอรามาร์ (Flor de lama) เป็นเรือของโปรตุเกส ในสมัยที่มะละกาอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส เรือลำนี้ได้ขนสมบัติจากวังสุลต่านมะละกาไปเต็มพิกัด หลังจากที่เรือออกจากมะละกา ได้แล่นออกไปทางเกาะสุมาตราตอนเหนือและได้ล่มลงที่นั่น

Opening Hours:
Daily: 09:00  – 17:30
Friday: 09:00  – 12:15, 14:45  – 17:30

DSC03621

อยากจะเข้าไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ข้างในก็ต้องซื้อตั๋วกันก่อน ผู้ใหญ่ 6 rm แต่ถ้ามี MY Card ก็ได้ลด 50% น้า

DSC01077

ซื้อบัตรแล้วก็ถึงเวลาเข้าไปลั่นล้าข้างใน

DSC03625

เมื่อเข้าไปข้างในแล้วสามารถเช่าหูฟังที่จะใช้บรรยายตามจุดต่างๆได้ ประมาณ 3 rm แต่งกอ่ะ อ่านเอาเองละกัน

เข้าไปด่านแรกก็เจอผู้คนกำลังแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีทั้งผ้าไหมและเครื่องเทศต่างๆ เป็นการจำลองบรรยากาศของเมืองมะละกาในสมัยก่อน

DSC03628

นอกจากการค้าขายแล้ว ที่หนีไม่พ้นจริงๆของเมืองนี้คือการทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ จีน ก็เข้ามาปกครองหรือมีอิทธิพลกับเมืองมะละกาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

DSC03634

เอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้ คือเรือสำเภา ได้มีการจัดทำโมเดลจำลองเรือสำเภาในยุคต่างๆไว้มากมาย ตื่นตาตื่นใจพอสมควร

DSC03638

แม้ประวัติศาสตร์จะน่าสนใจให้ศึกษา พร้อมทั้งข้อมูลและภาพประกอบก็มีพร้อม แต่ข้างในมันร้อนอบๆเหลือเกิน ตอนแรกหวังว่าจะมาตากแอร์เย็นฉ่ำยามเรียนรู้ความเป็นมาเมืองมะละกาก็ต้องผิดหวังกันทีเดียว เพราะสิ่งที่มีคือพัดลมตามมุมห้องพอไม่ให้อากาศอับจนเกินไป

เมื่อเดินชมจนครบแล้ว ก็ออกมาสำรวจบริเวณบนตัวเรือ ไปเจอกัปตันเรือกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น

DSC03643

ลูกเรือก็ขะมักเขม้นเช่นเดียวกัน (ทำไปดร้ายยย)

DSC03646

ขาลงมาจากเรือ จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ข้างๆให้ชมต่อโดยไม่ต้องเสียเงิน ถ้าไม่รีบก็ลองเข้าไปเดินตากแอร์อันเบาบางแต่เหม็นอับเล็กน้อย ถ้ารีบก็ผ่านได้ ไม่ค่อยมีอะไรมาก

DSC03658

ห้องน้ำของพิพิธภัณฑ์พอเข้าได้ แต่ห้องน้ำสาธารณะแนะนำว่าอย่าได้เหยียบย่ำเข้าไปเชียวนะ สภาพย่ำแย่ที่สุดที่เห็นพบเห็นมาแล้ว นึกถึงยังขนลุก มิอาจบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้

ต่อไปที่เราจะไปคือเบอร์ 10 หอคอยชมวิวมะละกา (Taming Sari Tower) หอคอยที่ขึ้นไปสูงสุดอยู่ที่ 80 เมตร สร้างด้วยเทคโนโลยีจากสวิสเซอร์แลนด์ ทนแผ่นดินไหวได้ถึง 10 ริกเตอร์ งบประมาณในการสร้างหอคอย 24 ล้าน ริงกิต สามารถขึ้นได้มากสุด 66 คน ค่าขึ้นคนละ 20 rm

Operating Hours: 10.00 – 22.00  (Daily)

Taming-Sari-Tower

Source: www.amazingmelaka.com

แต่พวกเราผ่านค่ะ ด้วยความขี้เกียจ ร้อน เสียดายเงิน คิดว่าวิวคงไม่อลังเท่าไหร่ บลาๆ ก็เลยตัดสินใจไม่ขึ้นไปดูกัน เอาวิวจากกล้องชาวบ้านฝากละกัน

menara-taming-sari-@-melaka-city-view

Source: http://www.tourmalaysia.com/wp-content/uploads/2011/01/[email protected]

เป้าหมายต่อไปของเราคือเบอร์ 2 ประตูซานดิเอโก (Porto De Santiago หรือ A Famosa)

ระหว่างการค้นหาซากประตูเมืองนั้น เจอเครื่องบินจำลองลำเขื่อง ไม่แน่ใจว่ามีความเป็นมาอย่างไรเหมือนกัน

DSC03671

มันคือเครื่องอะไรกัลล์ จักรยานแบบนอนถีบ?

DSC01104

ในที่สุดก็เจอ ประตูซานติเอโก ซึ่งสร้างโดยโปรตุเกส โดยสร้างไว้รอบเนินเขามะละกา ต่อมากองทัพฮอลันดาบุกเข้ามะละกา ได้มีการบูรณะประตูซานติเอโกบางส่วน เนื่องจากประตูซานติเอโกเป็นประตูเก่าที่มีอายุกว่า 150 ปี ในขณะนั้น และยังคงใช้เป็นประตูเมือง

จนกระทั่งอังกฤษได้เข้ามาครอบครองมะละกาจึงสั่งให้ทำลายป้อมปราการและกำแพงรอบๆ นั้นทิ้ง ในขณะที่การทำลายใกล้จะเสร็จสิ้น เซอร์ โทมัส แสตมฟอร์ด ราฟเฟิล เดินทางมาจากสิงคโปร์มาเห็นเข้าพอดี จึงยับยั้งการทำลายเพราะเห็นว่ามีคุณค่าทางประวิติศาสตร์ จึงเป็นที่มาว่าประตูซานติเอโก เป็นประตูที่ไร้กำแพง แป่วววว

DSC03677

จากนี้ เราจะเดินลอดประตูขึ้นเนินไปยังเบอร์ 4 โบสถ์เซ็นต์ปอล (St. Paul’s Church) ตามกันมาเลยค่ะ

091

โบสถ์เซนปอล เป็นโบสถ์เก่าสร้างอยู่บนเนินเขาใกล้กับ Dutch square สร้างขึ้นโดยคณะบาทหลวงจากโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1521 ตอนแรกนั้นเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆ และมีการขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ ต่อมาฮอลันดาเข้ามาปกครองมะละกา จึงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นโบสถ์เซนปอล และใช้งานโบสถ์แห่งนี้เป็นเวลา 112 ปี จนกระทั่งโบสถ์คริสต์สีแดง ตรง Dutch square สร้างเสร็จ จึงไปใช้โบสถ์ของตัวเอง

DSC03680

ที่หน้าโบสถ์มีรูปปั้นนักบวชชาวคริสต์อยู่ ท่านมีชื่อว่า Saint Francis Xanvier ท่านเป็นนักบวชชาวสเปนที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในย่านเอเชียตะวันออก หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตที่ประเทศจีน โบสถ์แห่งนี้เคยเป็นที่ฝังศพชั่วคราวนาน 6 เดือน ก่อนที่จะย้ายไปฝังที่อินเดีย

สังเกตที่มือขวาของท่านจะหายไปเป็นเพราะว่ามีต้นไม้ใหญ่ล้มทับรูปปั้น ทำให้ส่วนมือหักไป แต่มือที่หักนี้สอดคล้องกับเรื่องจริงที่พระสันตะปาปา รับสั่งให้ตัดมือของศพ Saint Francis Xanvier จากอินเดีย ไปเก็บไว้ยังสำนักวาติกัน ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี

DSC03692

จากเนินเขาโบสถ์เซนปอล เราจะมองเห็นเสากระโดงเรือสำเภาของ Melaka Maritime Museum และ Tamging Sari Tower อยู่ไม่ไกล

DSC01118

ต่อไปเราจะเดินลงเขาไปตามหาโบสถ์อีกที่กัน นั่นก็คือเบอร์ 7 โบสถ์เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ (Church of St. Francis Xanvier)

DSC03706

โบสถ์เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ เป็นโบสถ์เก่าแก่ ตัวอาคารเป็นสีเหลือง รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบกอทิก (Gothic style) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1849 ก่อสร้างโดยบาทหลวงฟาร์ฟ (Farve) แต่เหตุที่ชื่อโบสถ์เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ เพราะบาทหลวงฟาร์ฟต้องการสร้างอุทิศให้ เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์

ถึงภายในตัวโบสถ์จะร้อนอบอ้าว แต่เหมือนหลายๆโบสถ์ที่ฉันเคยได้ไปเยือน มักจะมีชาวคริสเตียนมาสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นต้องระมัดระวังไม่ทำเสียงดังรบกวนผู้ที่กำลังสวดมนต์อยู่

DSC03708

ออกจากโบสถ์มาสู้กับแดดจ้ากันต่อ บ้านเมืองที่นี่เป็นสไตล์โปรตุเกสจ๋า ลักษณะตึกแดงๆเก่าๆหน่อยชวนให้นึกถึงมาเก๊าซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสเหมือนกัน

DSC03711

ครบลูปการท่องมะละกา เราก็กลับไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรมพร้อมเดินทางต่อไปกัวลาลัมเปอร์ต่อ

เจ้าของโรงแรมที่เราถามหาร้านอาหารตอนเช้ายังจำเราได้ พอฉันเล่าให้ฟังถึงความผิดหวังต่อร้านข้าวมันไก่ลูกบอลเจ้าดัง เธอก็บอกทันทีว่าแต่ก่อนร้านนี้เคยอร่อยมาก แต่ความอร่อยนั้นแต่สูญสลายเป็นตามกาลเวลา สวนทางกับราคาที่ขึ้นมาเรื่อยๆ T^T หลงไปกินแล้วอ่ะ

สำหรับการต่อรถไป Melaka Sentral เจ้าของโรงแรมที่แสนใจดียังช่วยชี้แนะเส้นทางให้

โดยเส้นทางเดินรถสาย 17 ในมะละกาจะเป็นลักษณะวิ่งวนถนนเป็นวันเวย์บางช่วง เราจึงไม่สามารถขึ้นรถฝั่งตรงข้ามเวลาในขากลับ เส้นทางเดินรถจะวิ่งวนเป็นวงกลมคือ

Melaka Sentral –> Mata Kuching –> Wisma Bendahara –> Clock tower (Dutch square) –> Dataran Palawan (ห้าง) –> Mahkota Parade (MP) –> Ujong Pasir –> Ocean (Hang Tual mall) –> Melaka Sentral

แต่ถ้าไปขึ้นที่ Dutch Square จะเสียเวลาอ้อมเมืองอยู่ 45 นาทีหรือมากกว่านั้น ให้เดินไปสุดถนนยองเกอร์ ป้ายรถเมล์จะอยู่ตรงข้ามซอย เยื้องๆไปหน่อย เป็นเพิงไม้แบบไม่น่าจะเป็นป้ายรถเมล์ ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้ค่ะ พอดีรีบจนลืมถ่ายรูปมา ถ้าขึ้นที่ป้ายนี้ ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง Melaka Sentral

09-1

ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์ ขอแวะซื้อขนมซักหน่อย คล้ายๆขนมเปี๊ยะบ้านเรา แต่มีไส้แปลกๆที่ไม่นิยมกันในประเทศไทย เช่น งาดำ สังขยา กาแฟ

DSC03719

ผ่านร้านข้าวมันไก่ลูกบอลที่มักเห็นในกระทู้พันทิป ร้านนี้อาจจะอร่อยกว่าร้านที่เราไปโดนมาก็ได้นะ

DSC01136

พอมาถึง Melaka Sentral ได้ก็รีบไปซื้อตั๋วรถไปกัวลาลัมเปอร์ก่อน สามารถดูตารางเวลารถของบริษัทรถทัวร์ต่างๆได้ในเว็บ www.easybook.com มีเว็บนี้เว็บเดียว สบายไปแปดชาติ

DSC01137

สำหรับการเข้ากัวลาลัมเปอร์ สามารถไปลงที่ TBS (Terminal Bersepadu Selatan) ซึ่งเหมือนสถานีขนส่งสายใต้ของมาเลเซีย เพิ่งเปิดให้บริการสดๆร้อน ขอบอกว่าใหม่เหมือนสนามบินเลยทีเดียว อีกทีคือ Pudu Sentral (Puduraya) เลือกกันตามตำแหน่งโรงแรมหรือสถานที่ที่จะไปต่อได้เลย

คราวนี้เราใช้บริการของ Delima ราคา 11 rm โดยจะไปส่งเราลงที่ TBS รถออกบ่าย 2 โมงเราจึงเหลือเวลาเดินเล่นอีกเป็นชั่วโมง (กะเวลาพลาด ไม่งั้นซื้อรอบบ่ายครึ่งไปแล้ว)

DSC03722

ด้วยความหิวจัด เลยไปหาอะไรกินแถวนั้น ได้ Nasi Lamak แบบท้องถิ่นมาคนละจาน ราคา 5 rm ถูกที่สุดที่เคยกินในมาเลเซีย

รสชาติเหมือนเดิม แหลกม่าลง อาหารทริปนี้ไม่อร่อยจนเริ่มชินแล้ว

DSC03723

หันมาซื้อน้ำปั่นบ้าง

กรี๊ด มันไม่อร่อยโคตรๆ ไม่น่าเชื่อว่าแก้วละ 6 rm โฆษณาซะดิบดี ผสมเนื้อผลไม้แท้ เห็นบีบกลิ่นสังเคราะห์ผสมน้ำเชื่อมปั่นกับน้ำแข็งให้ตรูกินเฉยเลย โง่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

DSC01141

ขึ้นไปบนรถว่าจะหลับ ดันเปิดหนังเฉินหลงให้ดู (นับว่าเปิดกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอดเพราะหนังไม่ค่อยพูด เน้นแอคชั่น ยังไงก็ดูรู้เรื่อง) เลยดูเพลิน ผ่านไปสองชั่วโมง รถก็พาเรามาถึง TBS พอดี

DSC01142

เข้าห้องน้ำแล้วก็เตรียมลุยกันต่อ ไปขอแผนที่รถไฟจากซุ้มช่วยเหลือนักท่องเที่ยวมาเรียบร้อย จะบอกว่าการคมนาคมในกัวลาลัมเปอร์โคดจะสับสน ยืนอึ้งอ่านแผนที่ไปพักใหญ่ ถ้าจากแผนที่จะรู้ว่าจริงๆแล้ว สถานี Pudu Sentral นั้นอยู่ใจกลางเมืองมากกว่า TBS

1adab49691a16ada9a271d780962e313เราจะไปลง Bukit Bintang (สายเขียว) เพื่อไปเก็บของที่โรงแรมก่อน วิธีการคือขึ้นจาก Bandar Tasik Selatan (TBS – สายสีเลือดหมู) ไปเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวที่สถานี Hang Tuah

DSC01144

ค่าโดยสารค่อนข้างแพงเลยทีเดียว (แพงกว่าสิงคโปร์อย่างเห็นได้ชัด) เที่ยวหนึ่งประมาณ 3-5 rm เวลาไปซื้อตั๋วจะออกมาเป็นเหรียญแบบนี้

DSC03730

ภายในรถไฟสายสีเลือดหมู เป็นรถไฟรางแต่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ผู้หญิงแต่งตัวมิดชิดถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ส่วนใหญ่คงนับถืออิสลามกันเป็นแน่แท้

DSC01145

พอถึงสถานี Bukit Bintang ก็ต้องเดินหาโรงแรมกันยกใหญ่ ด้วยความที่อินเตอร์เน็ตที่ซื้อมาง่อยจนไม่สามารถเปิด Google Map ได้ ก็ใช้วิธีดั้งเดิม เดินถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงโรงแรม ไกลโพดดดด หลังๆค้นพบว่าไปขึ้นที่สถานี Imbi จะใกล้กว่า

โรงแรมที่จองไว้มีชื่อว่า Sky Express Hotel เป็นโรงแรมระดับ 2-3 ดาว โดยไปสอยห้องพักใน Agoda มาในราคา 48.75 sgd (1,219 บาท) ถูกกว่าที่พักในมะละกาซะอีก

DSC01148

โถงต้อนรับโออ่าพอสมควร แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า พนักงานคนหนึ่งจับแว่นตาแล้วมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันเลยหันไปนินทากับคุณสำลีเป็นภาษาไทยว่า “แหม่ ตรวจตราหัวจรดเท้าเลยเชียว” ไปๆมาๆ พนักงานคนนั้นดันพูดไทยใส่เรา ถามว่ามาจากไทยหรือครับ อ๊าก หน้าซีดเลย เป็นบทเรียนที่จำได้ขึ้นใจ อย่าริอ่านพูดภาษาไทยนินทาชาวบ้านในระยะเผาขนโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพูดและฟังเป็นภาษาไทยได้

DSC01149

ห้องสะอาดพอใช้ เก่าและอับเล็กน้อย แต่ที่สำคัญ โคตรจะกว้าง โหวงเหวงเลยทีเดียว

ทางเข้า

DSC03743

ห้องโดยรวม

DSC03741

ห้องน้ำ

DSC03739

ตามสไตล์การเที่ยวแบบตารางแน่น พักแค่ 5 นาทีก็ต้องรีบออกเดินทางต่อ วันนี้เราจะไปดูวิวมุมสูงกันที่ Menara Kuala Lumper หรือ Kuala Lumper Tower นั่นเอง

การเดินทางคือให้ขึ้นรถไฟสายเขียวไปลงที่ Raja Chulan แล้วเดินต่อ พยายามเดินตามป้ายหรือถามคนเข้าไว้เยอะๆเพราะทางเข้าซับซ้อนพอสมควร ถ้าดูจากแผนที่จะดูเหมือนว่าเข้าถึงได้หลายทาง แต่ความจริงติดป่าติดอะไร ต้องไปอ้อมกันไกลอยู่

เห็นมาแต่ไกล แต่ไปยังไงนี่สิ

DSC03746

ในที่สุดก็หาทางเข้าจนเจอ รอตรงนี้สักครู่ก็จะมีรถ shuttle bus ขับมารับไปที่ฐานหอคอยฟรีๆ อย่าริอ่านเดินขึ้นไปเด็ดขาด เหนื่อยแฮ่กแน่ๆเพราะไกลอยู่และชันด้วย

DSC01153

ค่าขึ้นแพงขนหัวลุกนิดส์นึง 49 rm โดยจะมีลิฟท์ขึ้นไปยังจุดชมวิวที่ความสูง 276 เมตร การขึ้นชมก็ไม่มีการกำหนดเวลา สามารถอยู่ชมได้นานเท่าที่ต้องการ แต่หากเสีย 99 rm คุณจะได้วิวแบบ open air ไม่มีกระจก privilege สุดๆ (แค่โคตรจะแพง) 

Opening Hours: 9.00 – 22.00 (Daily)

ยังแดดแผดจ้าอยู่ มาทันรอชมวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แฮปปี้สุดๆ จริงๆตอนแรกอยากจะขึ้นไปดูวิวบนตึกแฝดแต่เพื่อนชาวมาเลเซียแนะนำว่ามาขึ้นหอคอยดีกว่า จะเห็นตึกแฝดจากตรงนี้ด้วย แม้จะไม่ได้อยู่ตรงกันข้ามก็เถอะ

DSC03757

คุณสำลีบอกรูปนี้มันคุ้นกับรูปที่เปลี่ยนอัตโนมัติในโทรศัพท์จริงๆ

DSC01159

อยากได้แบบชัดๆ แต่หมอกหรือควันก็ไม่รู้ เยอะชะมัด

DSC03759

หันไปถ่ายวิวอีกด้าน

DSC03769

จัตุรัสเมอเดก้า พรุ่งนี้เจอกัน

DSC03770

พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ส้มมากกกกกกกกก

DSC03783

จังหวะนี้หิวมากๆ แต่ไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว ก็รอให้แต่ละตึกเปิดไฟเพื่อวิวกัวลาลัมเปอร์ยามค่ำคืน

วิวมา แต่ปัญหาคือ กระจกมันสะท้อนไฟข้างใน Tower จนกว่าจะถ่ายออกมาได้ลำบากมาก ต้องโน้มตัวไปแนบกล้องกับกระจกแล้วใช้มือกั้นแสงสะท้อน รูปนี้พอดูได้สุดล่ะ ไฟลุกตึกเลย 0.0

DSC01189

เมื่อเก็บวิวมุมกว้างไม่ได้คุณสำลีก็ไม่แคร์ เรื่องอะไรจะทุลักทุเลให้เสียมาด เก็บยอดตึกแฝดต่อไป

DSC03811

สาเหตุการสะท้อน โอ้ยยยย จะสว่างไปหน๋ายยย

DSC01192

ปีนป่ายเพื่อถ่ายรูปกันจนหมดแรง ก็ได้เวลาจากลา 49 rm กันซักที (อยู่ตั้ง 2 ชั่วโมงกว่ายังจะบ่นแพงอีก)

DSC03830

จากนั้นพวกเราก็จะเดินไปกินข้าวและถ่ายรูปตึกแฝด ไฮไลท์ของกัวลาลัมเปอร์กัน จากหอคอยเดินไม่ไกลเลย แต่ด้วยความหิวเลยกลายเป็นโคตรไกล

DSC01203

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก็กินมันที่ศูนย์อาหารในตึกแฝดมันนี่ล่ะ แก้แค้น Nasi Lamak รอบที่สามในมาเลเซีย

DSC01205

กับจานร้อน บะหมี่อะไรซักอย่าง อร่อยกว่า Nasi Lamak (ตามเคย)

DSC01206

ด้วยความหิว ตบท้ายด้วยวาฟเฟิลมันซะเลย

DSC01210

กระบวนการยัดนุ่นยังไม่หมดแค่นั้น ขอน้ำผลไม้ปั้นตบท้าย แก้วละร้อยกว่า

ทีนี้คุณสำลีมีแรงถ่ายรูปล่ะ ไปลุยกันเลย

DSC01211

Petronas Twin Towers เป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ที่มีความสูงถึง 88 ชั้นหรือ 452 ม.เหนือเส้นขอบฟ้า สถาปัตยกรรมที่เปล่งประกายไปด้วยแสงแห่งความงดงาม อันสร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากหลักอิสลาม 5 ประการ

ตึกนี้สร้างมาเพื่อถูกถ่ายรูปโดยแท้จริง กระหน่ำ spotlight กันไม่ยั้ง โดยเฉพาะตรงข้างล่าง แยงตาจริงๆ

DSC03853

มีน้ำพุอยู่หน้าตึก สวยงามทีเดียว

DSC03858

อีกมุม

DSC03877

จบวันแต่เพียงเท่านี้ ขากลับค่อนข้างลำบากเพราะรถไฟที่ดูเหมือนจะเชื่อมกัน ดันไม่เชื่อมกัน (ซะงั้น) เลยต้องนั่งอ้อม เสียเวลาไปชั่วโมงกว่า ถึงโรงแรมเลยสลบเป็นตาย พรุ่งนี้เราไปเที่ยวในกัวลาลัมเปอร์ต่อกัน จะทันสมัยหรือล้าสมัยกว่ากรุงเทพของเราแค่ไหน ต้องติดตาม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*