วันนี้จะไปไหนกัน มาดูคร่าวๆ เดี๋ยวจะหาว่าโม้วว
มาดูตารางเที่ยวคร่าวๆในวันที่ 2 กัน
13 Feb 2015
หลังจากนอนเต็มอื่มเมื่อคืนก็ถึงเวลาออกอาละวาด เอ้ย ออกตะลุย Istanbul รอบสอง เรื่องของเรื่องคือฉันหยิบเสื้อใหม่มาใส่พร้อมออกลุยเลย แต่คุณสำลีผู้รักสะอาดเหลือบมาเห็นเลยกระโดดถีบเข้าห้องน้ำ ตรูจะร้องไห้ หนาวอิ๊บอ๋าย ทำใจหน้าชักโครกอยู่ 10 นาทีถึงได้อาบ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝรั่งถึงไม่ชอบอาบน้ำ
กลั้นใจแต่งตัวจนเสร็จก็เดินหาห้องอาหาร หาไม่เจอเลยเดินลงมาถามพนักงานข้างล่าง พนักงานเลยเปิดประตูโรงแรม (อย่าเปิดปุ๊บปั๊บดิ ทำใจก่อน หนาว) แล้วชี้ให้ไปกินที่อีกโรงแรมหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก (ที่มีคนกำลังเดินเข้าไป) เออหนอ มีไปผูกปิ่นโตไว้กับอีกที่แบบนี้ด้วยวุ้ย
เดินงงๆเข้าไป ไม่มีใครเรียกหรือถามอะไรเลย เป็นที่รู้กัน แต่แอบคิดว่าคราวหลังมามั่วกินที่นี่ก็ได้ป่าว
ขึ้นไปชั้นบนสุด ยืนตะลึงอยู่พักหนึ่ง วิวแบบ ดีงามมาก
พุ่งไปจองโต๊ะริมหน้าต่าง
เชิญชมไลน์อาหาร เริ่มจากโซนแฮม ไม่รู้ว่าแฮมอะไรบ้าง อาจเป็นแฮมไก่ แฮมโคตรไก่ แฮมไก่มาก
บรรดาผักสำหรับคนรักสุขภาพ มะเขือเทศที่นี่อร่อยมาก คือขนาดไม่ค่อยชอบยังซัดไปหลายลูกอยู่ ไฮไลทของที่นี่คือมะกอกดอง ดองไว้หลายแบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านมะกอกดอง ดร.สำลี บอกว่า เค็มไปไม่ปลื้ม (แล้วแกก็ตักของเค้ามาซะเยอะ เสียของจริงๆ)
โซนขนมปัง ดูเหี่ยวแห้งไปนิด
ธัญญาพืชอบกรอบ คอนเฟล็ก เนย และสารพัดแยม (กินกับขนมปัง)
นางมาทั้งรัง
ชีส โยเกิร์ตและผลไม้แห้ง
และแล้วก็หาโปรตีนเจอ (ไม่นับแฮมนะ เหมือนแฮมปลอมยังไงไม่รู้) ไข่ต้ม ออมเลต ไส้กรอก รอดตายแล้วตรู
ระหว่างกินไปก็ส่องวิวไป โอ้ย ปลื้ม รู้สึกชื่นใจที่ได้มา
ถือว่าอาหารดีกว่าที่เคยได้ยินเสียงร่ำลือมา วิวก็ฟินมาก
ไป Check out พร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม โดนค่าน้ำเปล่าไป 2 ขวด 4 TL อ้าว นึกว่าฟรี เมื่อคืนเลยเปิดกระดกกันใหญ่กลัวไม่คุ้ม
เดินเรื่อยๆมาถ่ายรูป ณ ลานน้ำพุที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Blue Mosque กับ Hagia Sophia โอ้ว ฟินมากค่ะ เอา Blue Mosque เจ้าเก่าไปก่อน ฟ้าขมุกขมัวได้อีก
แม้ฟ้าจะเละเพียงนี้ แต่ฝนไม่ตกเหมือนเมื่อวานก็เป็นบุญแล้ว Hagia Sophia จุดมุ่งหมายต่อไปของพวกเราในวันนี้
ถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลาเข้าไปดูความอลังข้างใน แต่ก่อนอื่นต้องซื้อบัตรก่อนเลย 30 TL ถ้วน ต่อแถวซื้อไม่นานประมาณ 10 นาทีได้ เนื่องจากยังเช้าอยู่
เปิดทำการ: ทุกวัน 09.00 – 17.00 (ไม่ให้เอาขาตั้งกล้องเข้า)
ปิด: วันจันทร์ และก่อนเวลา 13.00 ของวันแรกในช่วงวันหยุดทางศาสนา
ราคา: 30 TL ขาดตัวห้ามต่อ
สำหรับคนที่อยู่ยาวใน Istanbul ก็ลองพิจารณา Museum Pass ซึ่งสามารถเข้าพิพิธภัณฑ์และพระราชวังใน Istanbul ได้ประมาณ 10 แห่ง ราคาประมาณ 85 TL หรือแพงกว่านี้ ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งละกันเนอะ
เสียตังค์กันแล้วก็ลุ้ยยยย ข้างในคนแอบเยอะ
Hagia Sophia หรือ อิสลามเรียกว่า Aya Sofya ซึ่งแปลตรงตัวว่า Holy Wisdom หรือพระปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ โอ้วววว เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง มีอายุเก่าแก่กว่า 1,500 ปี เสียวมันพังลงมาเหมือนกัน
จักรพรรดิจัสติเนียนแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ (ไม่ใช่จัสติน บีเบอร์นะ ถึงชื่อจะคล้ายกันๆ) ทรงโปรดให้สร้าง Hagia Sophia ขึ้นใหม่แทนที่โบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ ใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี 10 เดือน จึงเสร็จสมบูรณ์เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะยุคไบแซนไทน์ เพราะแสดงถึงความเป็นอัจฉริยะในด้านการคำนวณ ที่สามารถกระจายน้ำหนักของโดมครึ่งวงกลมบนเสาและผนังสี่เหลี่ยมรอบๆ ทำให้เกิดพื้นที่กว้างมหาศาลอยู่ตรงกลาง (กว้างจริงๆ ขนาดฉันเรียนวิศวะมายังแน่ใจว่า ถ้าให้ฉันออกแบบ อย่าให้ถึง 1,500 ปีเลย 15 นาทีจะอยู่ไหม คารวะ 3 จอก)
โดมของ Hagia Sophia มีการบูรณะอยู่ครึ่งหนึ่ง
แต่ความสงบสุขมักอยู่ไม่นาน (ลิเกเชียว) ในที่สุดพวกออตโตมันก็สามารถตีกรุงศรีฯ เอ้ย กรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกได้สำเร็จ เลยเปลี่ยนให้เป็นมัสยิดซะเลย เติม Minaret เข้าไป 4 หอ ใช้ปูนฉาบปิดทับภาพโมเสกในศาสนาคริสต์ เพราะศาสนาอิสลามห้ามสร้างหรือวาดภาพของรูปเคารพที่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมถึงประดับด้วยสัญลักษณ์สิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามแทน
ตอนจบมักจะ Happy Ending เสมอ เพราะเมื่อเปลี่ยนเป็นประเทศตุรกีซึ่งอยู่ภายใต้ข้อกำหนดว่าเป็นรัฐที่ไม่มีขีดจำกัดทางศาสนา (secular state) รัฐบาลจึงได้เปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อทุกคนจะได้มีโอกาสชมความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่นี้นั่นเอง อิอิ
ข้างบน flip เอานะคะ ความเป็นจริงคือ บูรณะอยู่ครึ่งหนึ่ง
มาดูภาพโมเสกสไตล์ไบแซนไทน์บ้าง เริ่มที่ภาพโมเสกพระแม่มารีกับพระกุมารเยซูนี้เป็นภาพโมเสกเก่าแก่ที่สุดในโบสถ์ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน โดยมีอายุกว่า 1,100 ปี เคยถูกฉาบทับด้วยปูนมาแล้ว แต่ถูกบูรณะกลับคืนมาเมื่อ Hagia Sophia ถูกเปลี่ยนกลับเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นบุญตาข้าพเจ้าจริงๆ
ถามว่าภาพโมเสกคืออะไร ศิลปะการตกแต่งด้วยชิ้นแก้ว, หิน, หรือกระเบื้องชิ้นเล็กๆ เห็นแล้วสัมผัสได้ถึงความละเอียดละออและอดทน
(ซ้าย) อัครเทวทูตกาเบรียล (Gabriel) มีบทบาทมากในการทำภารกิจของพระเจ้าบนโลก โดยทำหน้าที่เป็นผู้นำสารมาให้แก่มนุษย์
(ขวา) ทูตสวรรค์เซราฟิม (seraphim) มี 6 ปีก เป็นทูตสวรรค์ในลำดับชั้นสูงสุดในศาสนาคริสต์ มีหน้าที่ดูแลรักษาบัลลังก์ของพระเจ้า
ตรงจุดนี้ ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางของโลก ใช้จัดพิธีราชาภิเษกตั้งแต่สมัยยุคโรมันโน่น โดนกั้นไว้ ขอเข้าไปเหยียบนิดนุงก็ไม่ได้ เอาฟะ ถือได้ว่าเคยอยู่ใกล้ศูนย์กลางของโลกก็ได้ แหม
อย่าลืมขึ้นไปเบิ่งความอลังต่อที่ชั้น 2 มีภาพโมเสกเด็ดๆเยอะเลย เริ่มด้วยภาพนี้ Deisis Composition ภาพพระเยซูในวันพิพากษาโลก (Doomsday) โดยมีพระแม่มารีกับเซนต์จอห์นแบ๊บติสต์วิงวอนขอพระเมตตาแก่ชาวโลก
Zoe Mozaic เป็นภาพพระเยซูประทานพรให้แก่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 ซึ่งถือถุงเงินบริจาคแก่การบูรณะโบสถ์อยู่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นจักรพรรดินีโซถือม้วนหนังสือในมือ
Komnenos Mosaic เป็นภาพของจักรพรรดิ Komnenos Loannes II และจักรพรรดินีไอรีนชาวฮังกาเรียน โดยมีพระแม่มารีอุ้มพระเยซูอยู่ตรงกลาง ภาพโมเสกนี้ทำขึ้นเป็นสัญลักษณ์การบริจาคเงินเพื่อการบูรณะสุเหร่าโซเฟีย และอุทิศให้กับเจ้าชาย Prince Aleksios ที่สิ้นพระชนม์จากการเจ็บป่วยตั้งแต่ยังพระเยาว์
มีการบูรณะอยู่ตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าเค้าทำอะไรกันอยู่เหมือนกัน วัดอย่างตั้งใจเชียว
เจอหน้าต่างเลยแวะส่องออกข้างนอก ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลเชียว
เจอระเบียงเลยแวะส่องลงข้างล่าง
แถมก่อนจะเดินออก
เดินอยู่ข้างในราวๆ 2 ชั่วโมง ก็ได้เวลาลาจากสิ่งมหัศจรรย์แห่งนี้ แต่ก่อนออก เหลือบไปเห็นเสามีรูต้นนี้ คุณสำลีโฆษณาทันทีว่าเชื่อกันว่าให้อธิษฐานแล้วสอดนิ้วโป้งเข้าไปในรู แล้วหมุนมือให้ครบรอบ 360 องศาได้ จะสมหวัง
เหยื่อโฆษณาอย่างฉัน พุ่งไปต่อแถวทันที ลำบากลำบนหมุนจนครบรอบแล้วร้องกรี๊ดอย่างดีใจ แต่ซักพักนึกขึ้นได้ว่าลืมอธิษฐาน แป่ว
เหนือประตูทางออกยังเจอะโมเสกอีกภาพ จริงไม่ได้สังเกตหรอกแต่ทางพิพิธภัณฑ์เอากระจกมาตั้งไว้กันคนมองไม่เห็นซะเลย
ออกมาตั้งหลักข้างนอก เริ่มหิวเลยมองหาอะไรกิน มีข้าวโพดกับขนมปัง Simit ให้เลือก แต่ตอนนั้นยังไม่พร้อมแทะ เลยตัดสินใจเดินไปซื้อขนมปังมากิน
ระหว่างที่ดูเค้าทำ คนขายก็เลยบุ้ยใบ้ไปที่คุณสำลีแล้วถามว่า Your husband? โห ถามมาขนาดนี้เลยต้องสนอง I wish he was, but no… he is my boyfriend. พี่แกเลยให้กำลังใจใหญ่เลยว่าเดี๋ยวซักวันคงได้แต่งงาน แล้วก็ถามต่อว่าจะมีลูกกี่คน นี่มันคนขาย Simit หรือนักวางแผนครอบครัว
ในที่สุดก็หลุดมาได้ พร้อม Simit ไส้ Nutella เย็นชืดไปหน่อย แต่ก็พอกรุบกรับกล้อมแกล้มไปได้ ใน ราคา 2 TL
พอซื้อเสร็จฝนก็ลงเม็ดเบ้อเริ่ม เลยต้องมองหาที่หมายต่อไปซึ่งก็คือ Basilica Cistern (Yerebatan Sarnici) อุโมงค์เก็บน้ำใต้ดินอันเลื่องลือ ซึ่งจริงๆอยู่ตรงข้ามกับ Hagia Sophia วิ่งข้ามถนนไปนิดเดียวก็ถึง
ต่อคิวไม่นานก็ได้บัตรมา สนนราคาคนละ 20 TL (ใช้ museum pass ไม่ได้เด้อ)
ซื้อตั๋วเสร็จต้องเดินลงบันไดไปดูใต้ดิน บันไดลื่นโฮกระวังด้วย เดี๋ยวพลาดท่าตกบันไดดั้งหัก ณ ตุรกี นี่ยุ่งเลย กำลังระวังๆอยู่ เงยหน้าขึ้นมา โอ้ววว ตะลึงเลย
เวลาทำการ: ทุกวัน 09.00 – 17.30
ปิด: ก่อนเวลา 13.00 ของวันแรกในช่วงวันหยุดทางศาสนา
ราคา: 20 TL
ส่องไปในน้ำ โอ้ว อ้วนกลมน่ากิน
มีเรื่องเล่าว่าสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านบริเวณนี้ค้นพบอุโมงค์ส่งน้ำเป็นเพราะว่ามีน้ำเจิ่งนองมาจากใต้ดิน รวมถึงวันนี้คืนดีก็มีปลาหลุดมาด้วย จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่เค้าไม่สงสัยกันหรือไงนะว่าท่อส่งน้ำ (ที่มีอยู่เต็มเมือง) มันคืออะไร ส่งน้ำไปที่ไหน อะไรแบบนี้
ไฮไลท์ของที่นี่ (ซ้ายสุด) เสา Evil Eyes มีดวงตาปีศาจสลักอยู่ (กลาง และ ซ้ายสุด) เสารูปเมดูซ่า ที่ตามตำนานกรีดเล่าขานว่า เดิมเมดูซ่าเป็นสาวงามน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน แต่โดนเทพโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนารู้สึกถูกลบหลู่ จึงสาบเมดูซ่าให้เป็นหญิงอัปลักษณ์มีผมเป็นงู (เอ้า ซะงั้น) และมีดวงตาเป็นอำนาจลึกลับ หากผู้ใดจ้องมองจะกลายเป็นหินทันที ดังนั้นการที่มีเสารูปเมดูซ่าอยู่ จึงถือเป็นการปกป้องการปองร้ายของศัตรูนั่นเอง แต่คิดว่าจะสร้างให้ตั้งหัวตรงๆคงดูน่ากลัวไปหน่อย ก็เลยสลักวางกลับหัวหนึ่งต้น ตะแคงอีกหนึ่งต้น
ใช้เวลาอยู่ที่นี่ราวๆ 45 นาที ก็เดินจนครบ ปีนบันไดกลับขึ้นมาบนดินอีกครั้ง
ค่อนข้างประทับใจกับความสามารถทางวิศวกรรมของโรมันนะ แต่ก็อยากรู้อยู่ดีว่าทำไมต้องขุดไว้ใต้ดิน ขุดเป็นบ่อธรรมดาไม่ได้หรอ ตุรกีก็ที่ไม่ได้น้อยเลย
ขึ้นมาฝนก็หายแล้ว เลยเดินต๊อกแต๊กมุ่งหน้าไปที่ Topkapi Palace (Topkapi Sarayi) ผ่านถนนชื่อ Sogukcesme Street น่ารักเชียว
เจอน้องหมาตัวบักเอ้ก แปลกมาก หมาที่นี่มีแต่ไซส์มหึมา แล้วมันก็ชอบเดินเข้ามาหาคนไม่ถูกโรคกับหมาแมวอย่างฉันจัง อย่ามาใกล้มากได้ไหม เก๊าทำตัวไม่ถูก คุณสำลีก็ยืนขำถ่ายรูปอยู่ตรงนั้น ขอบใจ
เดินชึ๊บๆผ่านเข้าประตูพระราชวังเข้าไป
หลังจากยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ จักรพรรดิเมห์เม็ตผู้พิชิต (Mehmet the conqueror) (เก๋มาก มีต่อท้ายบรรดาศักดิ์ คล้ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อะไรประมาณนี้) ก็ทรงต้องหาที่อยู่ในเมืองที่ตีได้ใหม่ ไม่งั้นจะอยู่ที่ไหน จริงไหม เลยโปรดให้ร้างพระราชวังทอปกาปึขึ้น (ปึนะ ไม่ใช่กะปิ อิอิ) โดยเป็นที่ประทับของสุลต่างองค์หลังๆนานกว่า 300 ปี ก่อนจะย้ายไปประทับกันอยู่ที่พระราชวังสุดเดิร์น โดลมาปาเช่ Dolmabahçe Palace (Dolmabahçe Sarayı) ซึ่งพวกเรามีตารางจะไปเยี่ยมชมกันในวันท้ายๆก่อนจบทริป
เปิดทำการ: ทุกวัน 09.00 – 16.00 (หน้าหนาว) Harem: 15:30 (หน้าหนาว) (ไม่ให้เอาขาตั้งกล้องเข้า)
ปิด: วันอังคาร และจนกระทั้ง 12.00 ในวันแรกของวันหยุดทางศาสนา
ราคา: 30 TL Harem: เพิ่มอีก 15 TL
เข้ามาถึงก็เจอทางลาดยาวเข้าสู่ตัวพระราชวัง คนไม่เยอะมาก สบายยยย
เดินไปเรื่อยๆจะเจอคิวซื้อตั๋วเข้าวังก่อนประตูชั้นที่ 2 ตอนแรกก็ถกเถียงกับคุณสำลีอยู่ว่าจะเข้า Harem กันไหม แต่ไหนๆก็มาแล้ว ขอดูที่จึ๊กกะดึ๋ยของสุลต่านเป็นบุญตาหน่อยละกัน อิอิ เลยเสียไป คนละ 45 TL ถ้วน T^T
เสียเงินแล้วก็เดินเข้าประตูวังกันเลย สังเกตข้างบนประตูจะมีลายอักษรสีทองๆ คือ พระปรมาภิไธย (ลายเซ็น) ของสุลต่านซักพระองค์
ใครที่หวังจะมาดูความงดงามอลังการอาจจะต้องผิดหวังได้ เพราะภายในพระราชวังท็อปกาปึไม่ได้มีอาคารใหญ่โตงดงามแบบพระราชวังในยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ แต่เป็นอาคารหลังเล็ก ๆ อยู่รวมกันมากกว่า สะท้อนวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนอยู่กระโจมของพวกเติร์กนั่นเอง
บริเวณภายในจะเป็นส่วนจัดแสดงทรัพย์สมบัติของอาณาจักรออโตมัน ที่ปกครองประเทศยาวนานถึง 470 ปี มีทั้งเครื่องแก้ว เครื่องเงิน พระภูษาอาภรณ์ที่ใช้ เครื่องประดับ ตลอดจนถึงสมบัติที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาอิสลาม แต่เค้าห้ามถ่ายภาพ เลยไม่สามารถเอามาให้ชมกันได้
ชิ้นที่เด่นที่สุดคือเพชร 86 กระรัต แบบ ใหญ่มากกกกกกกกกก โคตรเพชร ประมาณเขวี้ยงหัวขโมยมีน๊อคแน่ๆ (แต่มันคงขโมยเพชรป้ะ คงต้องเอาอย่างอื่นปา)
ไปยืนอ่านคำบรรยายมาบอกว่า เพชรเม็ดนี้เคยใช้ทำเป็นแหวนมาก่อน -O- ใครคือพระนางที่ต้องใส่เพชรคนนั้น กระดูกข้อนิ้วท่านทรงแข็งแรงมาก
ตามตำนาน นายทหารฝรั่งเศสได้ซื้อเพชรเม็ดนี้มาจากเจ้าเมืองรัฐปัญจาบในอินเดีย ต่อมามีการเปลี่ยนมือผู้ครอบครองเพชรเม็ดนี้ไปเรื่อย จนกระทั่งไปตกอยู่ในมือของพระมารดากษัตริย์นโปเลียน โบนาปาร์ต แล้วได้ขายเพชรให้กับนายพลแห่งอาณาจักรออตโตมันผู้หนึ่ง ซึ่งต่อมานายพลผู้นั้นได้ต้องโทษประหาร เพชรเม็ดนี้จึงถูกริบและตกเป็นสมบัติของราชสำนักออตโตมันไปโดยปริยาย แป่ว
ตำนานของเพชรเม็ดนี้ถูกสร้างเป็นหนัง Hollywood เรื่อง Topkapi ด้วย ต้องไปหาดูซะแว้ว
พวกเราไม่ค่อยสนใจเพชรพลอย เครื่องประดับอะไรเท่าไหร่ ชมกันแบบงงๆอยู่ซักพักเลยตัดสินใจไป Harem กันดีกว่า
คำว่า ฮาเร็ม หรือ Harem เป็นคำนามที่ได้มาจากคำกริยา harama ในภาษาอาหรับหรืออารบิค ซึ่งหมายถึง ต้องห้าม หรือทำผิดกฎหมาย สิ่งซึ่งเป็นที่ต้องห้าม หรือสิ่งที่จะต้องถูกเก็บไว้ให้ปลอดภัย
ฮาเร็ม จริงๆแล้วไม่ได้เป็นที่สำหรับแค่จึ๋กกะดึ๋ยเท่านั้น แต่เป็นที่ซึ่งสุลต่านอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัว เป็นเขตต้องห้ามสำหรับบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และเป็นเขตที่บุคคลในครอบครัวของสุลต่าน เช่น พระมารดา ชายา โอรสธิดา นางระบำของสุลต่าน จะต้องใช้ชีวิตอยู่เฉพาะในเขตหวงห้ามนี้โดยตัดขาดจากโลกภายนอก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน
ไม่ได้หรูเว่อร์อลังการ ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ ห้องที่ถ่ายมาโชว์นี่หรูสุดแล้ว
เดินอุ่นๆอยู่ในฮาเร็มได้แค่แพพเดียว ก็ต้องออกมาผจญความหนาวอีกครั้ง แต่หนาวครั้งนี้ฟินกว่าครั้งไหนๆเพราะนี่คือจุดพีคของพระราชวังท็อปกาปึ
จุดชมวิวช่องแคบฟอสฟอรัส เอ้ย บอสฟอรัส (นึกว่าเรียนเคมีอยู่) ที่กั้นระหว่างฝั่งยุโรปที่พวกเราอยู่ปัจจุบันกับฝั่งเอเชีย ซึ่งจริงๆแล้ว ตุรกีมีพื้นที่ฝั่งยุโรปอยู่แค่ 3% จากทั้งประเทศ นั่นก็คือที่ Istanbul นั่นเอง นอกนั้นยังอยู่ทวีปเอเชียอยู่นะเคอะ
ส่องฝั่งเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัยของคนท้องที่
ถึงฟ้าจะเน่า แต่เราก็ฟิน
Maiden’s Tower หนึ่งในสถานที่ที่ฉันเห็นภาพแล้วประทับใจ ตั้งใจว่าต้องมาเห็นกับตาตัวเองให้ได้ พวกเรามีตารางไปเยี่ยมชมที่ฝั่งเอเชียก่อนจะกลับทริปเช่นกัน
เอาไปอีกรูป อิอิ
สำหรับคุณผู้หญิง มาหน้าหนาวดีอย่างหนึ่งคือ มันหนาวๆ โรแมนติก มุ้งมิ้ง พูดไม่ถูก แต่ยกเว้นคุณสำลีไว้คนหนึ่งเถอะ นางตกอยู่ในภวังค์ซะแล้ว เรียกก็ไม่หัน เห็นนางมีความสุขก็ปล่อยไป
ก่อนกลับเจอโบสถ์ในบริเวณพระราชวังซึ่งยังไม่ถูกทำลายทิ้ง เพราะสุลต่านอยากแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีพระกรุณากับศาสนาอื่น เลยถูกเปลี่ยนเป็นห้องเก็บของแทน
ถามว่าประทับใจไหม บอกเลยว่าไม่ 555 เพราะไม่ค่อยมีอะไรดู เทียบกับ 45 TL ที่เสียไป ถ้าไม่เคยมาควรเข้าไปยลโฉมให้เห็นกับตาซักครั้ง แต่สำหรับฉันไม่มีครั้งที่ 2 แน่นอน
ใช้เวลาเดินวนเวียนอยู่ในพระราชวังชั่วโมงครึ่งก็ได้ฤกษ์ออกไปหาเข้ากลางวันกินแถวย่าน Sultanahmet นั่นแหละ มีเดินขบวนอะไรกัน ได้แต่ถ่ายมาแต่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้า
ตำรวจก็มาแจม
อย่ากระนั้นเลย ไม่หาของกินกันเต๊อะ ได้ไปนั่งหลบหนาวในร้านอาหารพร้อมของกินร้อนๆนี่สวรรค์มาก ใช้เวลาไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ
จานนี้ จิ้มมา มีไก่(ที่หันใส่ในเคบับ) ข้าวสไตล์ตุรกี(ออกมันๆ) เฟรนซ์ฟราย แป้งเคบับ สนนราคา 16 TL
เคบับ 7 TL
และชาแอปเปิ้ลคนละแก้ว แก้วละ 4 TL แพงที่สุดที่กินมาทั้งหมดในตุรกีแล้ว
กินเสร็จก็ได้เวลาย้ายเมืองกัน เริ่มจากกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมและเดินทางไป Taksim Square เพื่อต่อรถไปสนามบิน Sabiha Gokcen Airport (SAW)
ขณะนั่งรอรถรางที่สถานี Sultanahmet กันอยู่ ก็มีหนุ่มฉกรรจ์ชาวตุรกีเดินผ่านแล้วแซวฉันว่า Hello lady พร้อมกับยักคิ้วให้คุณสำลี หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำข้างหู “กวนตีน” เอิ่ม พี่คะ ด่าเป็นภาษาไทยแล้วเค้าจะเข้าใจไหมอ่ะ
เพื่อง่ายกับความเข้าใจ ขอเอาแผนที่มาโชว์อีกครั้ง
ตอนนี้พวกเราอยู่ที่จุดที่ 1 สถานี Sultanahmet สายสี่น้ำเงิน เราต้องนั่งไปเปลี่ยนขบวนที่จุดที่ 2 Kabatas แล้วก็นั่งสายสีเหลือง F1 ไปลงที่สถานี Taksim
โผล่ขึ้นมาที่ Taksim แล้วฝนลงหนักมาก เม็ดอย่างเป้ง เลยวิ่งไปถามทางคนขายเกาลัดแถวนั้น จุดขึ้นรถบัสจะอยู่ตรงข้าม Divan Hotel ข้างหน้า Point Hotel ค่ะ เจ้าที่ให้บริการชื่อ Havatas ตามรอยเว็บไปดูตารางเวลาเดินรถได้ที่เว็บนี้ http://havatas.com/yolcuservisi/taksim-sabihagokcenhavalimani.aspx
ตามตารางคือรถมีทุกครึ่งชั่วโมง แต่จริงๆแล้วคือรถเต็มก็ออก ค่าโดยสารคนละ 14 TL
ตามท้องถนนของบ้านเค้า ไม่ต่างจากบ้านเรามาก มีคนเดินขายดอกไม้ ขนมปัง Simit และสายชาร์ต iPhone?!? ตอนรถติดไฟแดง ที่น่าสลดคือมีขอทานเอาลูกเล็กมาเลี้ยงกลางถนน จะไม่อะไรมากถ้าฝนจะไม่ตกหนักและอากาศต่ำกว่า 0 องศา
ณ ขณะเวลาขึ้นรถคือ 16:30 ของวันศุกร์ รถโคตรรรรติด กว่าจะไปถึงสนามบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที หลับสบายเลย ดีที่เผื่อเวลารถติดเอาไว้ด้วย ไปถึงสนามบินเลยยังไม่ต้องรีบมาก แต่ข่าวร้ายคือลืมถุงมือคุณสำลีไว้บนรถบัส ม่ายยยยย
แพ็คกระเป๋าเตรียมโหลด
เห็นเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ เลยอดเข้าไปเล่นไม่ได้ ได้ตั๋วมาแต่ก็ต้องไปต่อเคาน์เตอร์เพื่อโหลดกระเป๋า ส่วนตั๋วเค้าก็เปลี่ยนให้อยู่ดี แป่ว
บินไปกับ Pagasus สายการบินในประเทศด้วยราคาคนละ 18 EUR หรือคนละ 720 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะที่โดนตัดเงิน 1 EUR = 40 THB)
น้ำหนักกระเป๋า 2 คนรวมกันก็ไม่เบาอยู่ แต่ได้โควต้าคนละ 15 kg เลยสบายๆ เจอพนักงานโหลดกระเป๋าแซวตามเคย เป็นไรมากป่าวหนุ่มตุรกี ไม่เคยเห็นคนสวย (ของแปลก) หรอ พอรู้ว่ามาจากเมืองไทยพี่แกบอก พัทยา พัทยา ทันที พนักงานที่รับเช็คอินอยู่ข้างๆยังมาร่วมพูดคุยด้วย เอาเข้าไป
จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็ไปหาอะไรกินในสนามบิน มื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่เศร้าที่สุดในทริป เพราะโคตรแพงและโคตรไม่อร่อย เห็นแล้วยังเซ็ง น่าจะเลือกกิน Burger King ตั้งแต่แรก ราคาต่อชุด ไก่ 17.5 TL ข้าว 5 TL น้ำเปล่า 4 TL รวมเป็น 26.5 TL พ่องงงงงง
กินเสร็จก็ไปรอหน้าเกท บรรยากาศคล้ายสถานีขนส่งหมอชิตมาก ซักพักก็ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง
มีรถบัสมาจอดเทียบท่าตามเคย ทริปนี้ไร้งวงช้างจริงจัง
พอออกจากรถบัสก็ต้องไปต่อแถวรอขึ้นเครื่อง บทเรียนที่ได้รับคือควรยืนหลบภัยอยู่ในรถบัสให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันนะ นะ นะ หนาววจริงๆน้า แถมแจ็กเก็ตกับกันหนาวทั้งหลายก็เก็บโหลดลงเครื่องไปหมดแล้ว คือยืนบิดจนตัวเป็นโปเต้ (ขนมบอกอายุได้เลย)
ขณะกำลังถ่ายรูปแก้หนาว เห็นไอเด็กซนมันไปดูมอเตอร์เครื่องบินขณะกำลังอุ่นเครื่อง เดี๋ยวก็กลายเป็นโกโก้ครั๊นช์หรอกหนู ออกม๊าาา อยากจะตะโกนแต่พี่พูดภาษาตุรกีไม่ได้ ซักพักพ่อมันหันมาเห็นเลยเดินมาลากไปทัน
วีดีโอความปลอดภัยช่างน่ารักนัก เอาเด็กมาเล่นเป็นแอร์ กัปตัน ผู้โดยสาร ช่างสร้างสรรค์แท้ ตอนนี้ยังประทับใจอยู่แต่เดี๋ยวมีมหากาพย์กับสายการบินนี้แน่นอน
เครื่องบินวนๆอยู่ในสนามบินอยู่ 30 นาที บินอีก 40 นาที หลับไปแว็บเดียวก็มาถึงสนามบิน Denizli
ลูกทุ่งมาก เครื่องบินจอดก็ต่างคนต่างเดินเข้าอาคารผู้โดยสาร ทั้งสนามบินมีแต่รางรับกระเป๋าแค่นั้น
ความตื่นเต้นต่อไปคือหาทางไปโรงแรมที่จองไว้ซึ่งอยู่ในบริเวณ Pamukkale ตามที่ศึกษามาจากเว็บต่างประเทศ (พยายามค้นใน Pantip แต่หาไม่เจอ) สายการบิน Pagasus จะมี shuttle bus ไปแค่ Denizli City Center ซึ่งไม่สะดวกเพราะจะต้องไปต่อรถอีกที ให้ขึ้น Baytur Shuttle จากสนามบินไป Pamukkale ให้ทุกๆ flight ที่ลง เอาวะ หาไม่เจอก็นอนมันสนามบินนี่แหละ
พอได้กระเป๋าปั๊บก็เดินออกไปหาไอรถ Baytur ที่ว่าทันที ซึ่งหาเจอไม่ยากเพราะนางเลยจอดหราอยู่หน้าอาคารผู้โดยสาร แต่คุณสำลีนี่สิ หันไปเจอหิมะ อารมณ์เพิ่งแค่เห็นเป็นครั้งแรก วิ่งออกนอกเส้นทางไปเล่นหิมะก่อนเลย =..= เห้ย รถจะออกแล้ว ต้องไปเดินไปลากมาขึ้นรถ นางก็โวยวาย จะเอาหิมะ จะเอาหิมะ เอิ่ม
อย่างหนึ่งที่สังเกตได้คือคนเก็บเงิน คนเก็บกระเป๋า คนขับรถ แต่งตัวดีมีฐานะมาก นึกว่านักธุรกิจที่ไหนมาเดินเก็บเงิน แต่การเสิร์ฟน้ำลูกทุ่งไปไหม เอาแก้วพลาสติกให้ถือ แล้วรินน้ำจากขวดลิตรตาม ทำเอาอึ้ง
ค่ารถคือ 13 TL ลิงโลดเลยที่ถูกว่าที่ดูมา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เพราะรถคันนี้ไป Denizli City Center ดีที่ตอนเอากระเป๋าให้เค้าเก็บย้ำว่าจะไป Pamukkale นั่งหลับไปซักพัก คนเก็บเงินเดินมาปลุกไปเปลี่ยนเป็นรถตู็มันกลางถนนเนี่ยแหละ
ขึ้นรถ คนขับก็ถามว่าโรงแรมชื่ออะไร แล้วก็ขับตะลุยไปส่งมันหน้าโรงแรมเลย เสียอีก 12 TL สิริรวมค่ารถไป Pamukkale คนละ 25 TL จ้า
กว่าจะมาถึงก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว โดยอย่างหนึ่งที่ควรทำถ้าจะเช็คอินดึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมเล็กๆ คือตอนจองควรเขียนไว้เป็น remark หรือบางเว็บจะมีให้มลือกว่า Check-in late อะไรก็ว่าไป กรณีฉัน ดีที่เขียนบอกไว้ก่อน เพราะเจ้าของขึ้นนอนแล้วแต่ยังใจดีทิ้งคนดูแล ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยไว้ให้ มาถึงปุ๊บเค้าก็ยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับเจ้าของเพื่อบอกรหัส Wifi และบอกว่าตอนเช้ามีข้าวให้กินนะเครอะ แล้วก็พาไปยังห้องนอน มายลโฉมกันเลย
ผ้าขนหนูพับเละไปนิดดดดส์
ห้องน้ำบ้าง
จริงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเป็นโรงแรมที่จองได้ถูกที่สุดในทริป ซ้ำยังได้จ่ายสดอีกเลยถูกเข้าไปใหญ่ ตกแล้วคืนนะ 31 EUR หรือ 1,162.5 THB (เรท 1 EUR = 37.5 THB) เลยถือว่า happy พอสมควรเลย
หิวน้ำมาก แต่โรงแรมดันไม่มีให้ ไม่รู้จะทำยังไงดึกขนาดนี้ เลยต้องเอาน้ำก็อกมาต้มกิน รสชาดประหลาดแท้
จบวันกันแค่นี้ ตอนหน้าเราจะได้เห็นแดดกันซักที ซึ่งมาพร้อมกับความงามของปราสาทปุยฝ้าย ณ Pamukkale ค่า อย่าลืมติดตามน้า