Highlight ของวันนี้ จัดไป
ตารางเที่ยวเรียบง่ายแต่แอบตื่นเต้นตรงการเดินทางเปลี่ยนเมืองเนี่ยแหละ
15 Feb 2015
ตื่นเช้าเปลี่ยนเสื้อผ้า (เดี๋ยวนี้น้ำท่าไม่อาบแล้ว อิอิ) ลงมาเช็คเอ้าท์ (เสียเงินเพิ่มค่าน้ำเปล่าขวดลิตรไป 2.5 TL) และฝากกระเป๋าไว้
ได้เวลาอาหารเช้า ห้องอาหารตกแต่งได้สวยมั่ก
มาดูไลน์อาหารกันก่อน เริ่มด้วยโปรตีน
เหล่าขนมปังและมะกอกดอง
โยเกิร์ต ชีส ผักแก้เลี่ยน (มะเขือเทศที่นี่ไม่อร่อยแบบผิดคอนเซ็ปต์ตุรกีมาก)
เรียบหรู อบอุ่น และอิ่ม
วันนี้ลองโยเกิร์ตสไตล์ตุรกี 2 แบบ แบบแรก (ซ้าย) เป็นโยเกิร์ตของโรงแรมกินกับผลไม้ อันนี้ค่อนข้างปลื้ม (ขวา) โยเกิร์ตยี่ห้อดัง ที่ไปที่ไหนก็ต้องเห็นคนกิน จริงๆดื่มมากกว่า เพราะมันเหลวมากเปิดแล้วกระดกเอาได้เลย มักขายเป็นเซ็ตคู่กับเคบับหรืออาหารอื่นๆ เลยคิดว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ
ผลปรากฎว่า กินไปได้ 1 คำ เลิกเหอะ เค็มมาก นี่มันโยเกิร์ตรสเกลือหรืออย่างไร
กินเสร็จก็ได้เวลาสำรวจโรงแรมก็ออกผจญภัยเช่นเคย
ข้างหลังเป็นสวนเล็กๆน่ารัก
มีต่อไปอีกตึก แสดงว่าช่วง high season ต้องมีคนมาพักเยอะมาก แต่ช่วงนี้น่ะหรอ นึกว่าอยู่กันสองคนไม่รวมครอบครัวเจ้าของ
ไปถามทางเจ้าของโรงแรมมา มาดามบอกว่าให้เดินไป Otogar ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเมื่อวาน จะมีรถ minibus สามารถขึ้นได้ทั้งแบบ direct คือไป Ephesus โดยตรง หรือจะขึ้นรถที่ไป Kudasai แล้วขอเค้าลงกลางทาง (วิธีนี้ไม่ค่อยแนะนำเพราะจริงๆต้องเดินอีกไกลเลย)
ลุ้ยยยยย
เดินไปประมาณครึ่งกิโลก็เจอ Otogar
ป้ายรถเด่นมาก เดินไปรอมันตรงนั้นแหละ
ระหว่างนั่งรอเจอคนไทยด้วยกัน มาเที่ยวคนเดียว 19 วัน รัสเซีย ตุรกี จอร์เจีย งบ 30,000 บาทไม่รวมตั๋ว (เพราะเป็นพนักงานการบินไทย) ฟังแล้วก็อึ้งอ่ะ ของเรา 11 วันอยู่ที่ตุรกีอย่างเดียวถ้าไม่รวมตั๋วยังไงก็เกินแน่ๆ กลับมาแล้วอย่าลืมมารีวิวเคล็ดลับนะค้าา
รถกว่าจะมาช้ามาก รอประมาณ 20 นาที
ดีใจที่รถมาซักที กระโดดขึ้นรถโดยพลัน ค่าโดยสารส่งถึง Ephesus คนละ3.5 TLถ้วน
พอมาถึง พวกเราก็กระโดดลงจากรถ เดินเริงร่าไปหาเมืองโบราณด้วยความตื่นเต้น คนขับรถต้องตะโกนบอกว่าขากลับให้มารอขึ้นรถเข้าเมืองที่เดิมนะ ได้เลยเพ่
ส่งสมุนไปซื้อบัตรมาล่ะ สนนคนละ 30 TL
เวลาทำการ: 8.00 – 19.30 ตั๋วรอบสุดท้่าย 18.30
ชอบบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่มาก standardise ได้เหมือนกันทั้งประเทศ
แผนที่คร่าวๆ
จงจำไว้ว่า อันดับแรกที่ควรจะทำในการมาเที่ยวชม Ancient City of Ephesus คือการเข้าห้องน้ำ เพราะมันจะมีอยู่แค่ที่ทางเข้า ที่เหลือก็ตามซอกหินแล้วล่ะ
ฝูงก้อนขนจำนวนมากหน้าห้องน้ำ มีหลากสี หลากสไตล์ให้เลือกพินิจ
เหล่าทาสแมวทั้งหลาย จงยอมจำนนแก่ข้าซะโดยดี
ถ้าคนรักแมวมานี่หลงอยู่แถวหน้าห้องน้ำนี่แหละ ไม่ได้ไปไหน ส่วนเราไม่ได้ถูกโรคกับน้องแมวมากสามารถก้าวฝ่าฝูงแมวไปลุยต่อ
อย่างแรกที่เจอคือ Milestone หรือหินบอกระยะทางระหว่างเมืองโรมัน ถ้าสมัยนี้ก็คือหลักกิโลนั่นเอง จะใช้สีแดงสลักว่าเพื่อให้สังเกตง่าย หน่วยที่ใช้วัดคือ milla passuum หรือพันก้าว (โคตรเท่) นอกจากข้อมูลทางระยะทางแล้ว บางทีก็มีชื่อจักรพรรดิ์ที่ทรงสร้างหรือบำรุงถนนนั้นๆสลักไว้ด้วย
ถัดมาไม่ไกลนัก คือ The Harbour of Ephesos เป็นถนนที่เชื่อมเมืองต่อกับอ่าวเพื่อทำการค้า สาเหตุหลักของความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอิฟิซุส
สุดถนนอีกฝั่งคือ The Theatre Gymnasium คล้ายๆกับสเตเดียมในปัจจุบัน ดูคนเล่นกีฬาอะไรแบบนี้
ปีนป่ายกันขึ้นมาข้างบนจนได้ในที่สุด จะเห็นถนนทอดยาวไปจนสุดทางขวามือ นั่นคือ The Harbour of Ephesos เมื่อกี้ แต่สงสัยว่าอ่าวอยู่ไหน หรือว่าน้ำมันเหือดไปหมดแล้วหนอ
ที่นี่คนไม่เยอะมากเหมือนในรีวิวช่วง High Season ที่เคยเห็นๆมา แต่ก็ไม่ร้างเท่า Hierapolis & Pamukkale เมื่อวาน อันนั้นทั้งเมืองเหมือนมีอยู่แค่สองเรา
วิวจากคนแสดงบ้าง
ก้อนขนประจำยิมเนเซียม
ถัดลงมาจากยิมเนเซียมเล็กน้อย จะเจอ Commercial Agora หรือตลาดศูนย์กลางการค้า คงประมาณตลาด อ.ต.ก. อะไรแบบนี้ เป็นตลาดพื้นที่ขนาดใหญ่่ เสาตั้งเรียงราย
เดินผ่าน Marble Street หรือถนนหินอ่อน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นหินอ่อนจริงหรือไม่ เพราะมันไม่เห็นเหมือนหินอ่อนที่เคยเห็นในปัจจุบัน
และแล้วก็มาถึงทีเด็ดที่พลาดไม่ดร้ายยย ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง Ephesus นั่นก็คือ The Library of Celcus
หอสมุดแห่งเซลซุส มีเสาค้ำยัน 8 ต้น มีรูปปั้นเทพี 4 พระองค์ ได้แก่ โซเฟียร์ (ความเฉลียวฉลาด), อะราเต้ (คุณธรรม), เอนโนเอีย (สติปัญญา) และ เอพิสเทเม่ (ความรู้)
มา low season มันดีแบบนี้ ซัดไปหลายช็อต
ฟ้าฝนก็เป็นใจ งามแต๊
ฟินสุดๆ
ทางเชื่อมต่อไป Commercial Agora เมื่อกี้
ก้อนขนเฝ้าหอสมุด
สำหรับใครที่ไม่มีปัญญาจ้างไกด์หรือไม่ได้ไปกับทัวร์ก็ไม่ต้องกังวลไป มีป้ายบอกอธิบายทุกจุด หรือจะเนียนไปฟังๆจากไกด์แถวนั้นก็ได้นะ อิอิ
นี่มันทริปถ่ายแมวใช่ไหม
The Latrine ส้วมสาธารณะ มีที่นั่งเป็นรูให้ปลดทุกข์ มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา ตามตำนานเล่าว่า หนุ่มสาวมันมานั่งขรี้และจีบกันที่นี่ เอิ่ม อีกตำนานหนึ่งบอกว่า เพราะหินมันเย็น เวลาผู้ดีเค้าจะมาปลดทุกข์กัน จะต้องมีคนมานั่งวอร์มให้มันอุ่นก่อน ผู้ดีถึงจะขรี้ได้โดยสะดวกโยธิน ฟินแท้
The temple of Hadrian อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ เป็นวิหารที่สวยมากแห่งหนึ่ง ลวดลายใต้หลังคาเป็นตำนานการสร้างเมือง และยังสลักรูป เทพเจ้า เทซซ์ (tyche) เทพเจ้าประจำเมืองด้วย
Curetes Street เป็นถนนที่ห้อมล้อมไปด้วยสิ่งก่อสร้างน่าสนใจตั้งอยู่รอบทั้งสองฝั่ง ส่วนตัวคิดว่าเพราะสิ่งก่อสร้างเหล่านี้อยู่ติดกัน ไม่ได้เดินไกลมากเหมือน Hierapolis ทำให้ Ephesus เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากกว่า
The Scholastikia Baths เป็นห้องอาบน้ำ Scholastikia เป็นคนบูรณะ เลยมีรูปปั้นอยู่ แต่ศรีษะหายไปแล้ว โอ้วหลอน
The Memmius Monument เป็นหลานชายของคุณปู่ซุลล่า นายพลผู้เรืองอำนาจของโรมันสมัยนั้น
Odeon or Bouleuterion ใช้เป็นที่ประชุมสภาพลเรือน การแสดงดนตรี ละคร จุคนได้ 1400
หยุดพักกินขน เจ้าก้อนขนมิวายมาอ้อนกินด้วย
The Fountain of Pollio
The Heracles Gate ประตูเฮราคลิส หรือ เฮอคิวลิส ด้านหน้ามีรูปปั้นเฮราคลีส 2 รูป ห่อด้วยอาภรณ์หนังสิงโต
ผ่านทุ่งดอกไม้งามๆ
ก่อนกลับแวะไป The Church of Mary โบสถ์พระแม่มารี โบสถ์แห่งแรกของโลกที่สร้างขึ้นถวายพระแม่มารี การประชุมสภาคริสตจักรครั้งที่ 3 ก็จัดที่นี่ เลยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Council Church
ละอายใจเล็กน้อยตรงที่ว่าลืมศึกษาเกี่ยวกับโบสถ์พระแม่มารีไปก่อน ไปถึงก็ยืนงงๆบ่นกับคุณสำลีว่า ซากอะไรหว่า ถ่ายรูปแชะๆแล้วเดินออก ระหว่างรอรถเอาโพยขึ้นมาดูถึงกับตะลึง ขอกลับไปถ่ายรูปมาใหม่ได้ไหมอ่า 555 นี่แหละน้า ศึกษาไปยังไงก็ไม่พอ
ออกมาเห็นน้ำทับทิมขายอยู่มันเปรี้ยวปากเลยจัดซัก 1 แก้ว 5 TL เปรี้ยวสมใจเลย
กลับมายืนรอรถอยู่ที่เดิม จะมีคนคุมคิวรถ ให้บอกเค้าว่าจะกลับ Otogar เพราะมันมีรถไปทางอื่นด้วย เดี๋ยวขึ้นผิด
รอไปอีกสิบกว่านาที รถก็มาในที่สุด
ตอนแรกว่าจะไปสนามบินโดยรถไฟ แต่รอบเวลามันเร็วไป ต้องไปแกร่วที่สนามบินอยู่ตั้งนาน เลยตัดสินใจไปถามที่ Otogar ว่ามีรถไป Izmir Airport ไหม ซึ่งมีหรือที่จะไม่มี เราเลยได้เวลาเที่ยวในเมืองเพิ่มอีกนิดนึง
เลยเที่ยงมานาน ได้เวลาหาอะไรใส่ท้อง เดินไปเดินมาเห็นร้านนี้น่ารักดี เลยเข้าไปลองดู
อาหารถือว่าถูกและเยอะแต่ไม่อร่อย มีแค่ 2 เมนูให้เลือกสรรเท่านั้น คือ meat ball
และ beef kebab
ทั้งคู่จานละ 8 TL มาพร้อมออเดิร์ฟ สลัดมะเขือเทศ 1 จาน
เสร็จของคาว ก็ได้เวลาหาของหวานกิน ได้แมกนั่มรสทัมทิมจากร้านขายของชำแถวนั้นในราคา 2.5 TL
เนื่องจากยังมีเวลา คุณสำลีซึ่งรับผิดชอบในการหาข้อมูลของเมืองนี้ เลยพาเที่ยวต่อ
ไกด์จำเป็นของเราจะพาทุกท่านไปชม Ayasuluk Castle ซึ่งเป็นปราสาทที่พวกเราเห็นอยู่บนเนินเมื่อวาน
ไกด์บอกว่า จะต้องผ่าน Gate of persecution หรือประตูแห่งการประหัตประหาร สร้างในสมัยไบเซนไทน์ มีงานสลักลวดลายกรีก เป็นภาพฮีโร่ที่ชื่ออาชิลิอุส (แอบสงสัยว่ามั่วป่าววะ อ่ะ ตามน้ำๆ)
สนนราคาเยี่ยมชม คนละ 10 TL
ถัดจากประตูเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นบนหลุมศพของเซนต์ จอห์น
ตอนนี้ไกด์เริ่มแต่งเรื่องมั่วขึ้นมาซัก 70% ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง
เอาวิวไปดูแทนละกันเนอะ
วิวสวยดี เลยอภัยความมั่วของไกด์ได้
สิ่งที่อยากมาดูจริงๆคืออันนี้ Ayasuluk Castle
แวะถ่ายวิวมุมกว้าง panorama เว่อร์ชันกล้อง iPhone
ไปชมปราสาทกันต่อเลย
Ayasuluk Castle บ้างก็เรียก Ayasuluk Fortress เป็นปราสาท & ป้อมปราการตั้งอยู่บนสุดของ Ayasuluk Hill สร้างโดยเจ้าชายอาหรับชื่อเอดิน
Castle Mosque มัสยิดประจำปราสาท
ส่องจากนอกมัสยิดออกมา
Basilica Cistern อ่างเก็บน้ำ
ข้างในอ่างเก็บน้ำ ยังมีน้ำอยู่บ้าง
ในที่สุดก็ปีนมาถึงยอดปราสาท
วิวกินขาด ลมก็เย็นดี
นั่งแช่อยู่ ไม่อยากลุกไปไหน มันสบายตาสบายใจจริงๆ
นั่งชมวิวสักพักก็ถึงเวลากลับ ฉันเถียงกับคุณสำลีว่า มันมีอีกทางที่ขึ้นมาแล้วไม่เสียเงิน เลยเดินมั่วๆลงไปอีกทาง แต่มันเป็นทางตัน เงิบ
สักพักก็ได้ยินเสียงใครเรียก ปรากฏว่าเป็นเด็ก 2 คน เรียกให้ตามไป เดี๋ยวพาออกเอง
พวกเราก็มึนๆ เดินตามมันไปอีก
เฮ้ย เอางี้เลย
สุดท้ายโดนไถ่เงิน 5 TL ค่าพาออก คุณสำลีอึ้งไปเลย ฉันตั้งสติได้ก่อน บอก I don’t have money but I have chocolate แล้วหยิบขนมที่ซื้อมาเมื่อกี้ยื่นให้อันหนึ่ง ไอเด็กโตบอก จะเอาทั้งหมดที่มี เออ ก็ได้วะ ขนมหนู T^T
จากสภาพความเป็นอยู่ละแวกนั้นรู้เลยว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงต้องมาไถ่เงินนักท่องเที่ยว
กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมเพื่อต่อรถบัสไปสนามบิน Izmir ระหว่างนั้นคุณสำลีที่บ่นๆว่าเจ็บเข่า เกิดเดินไม่ไหว เลยต้องนั่งพักกันอยู่กลางทาง อีก 5 นาทีจะได้เวลารถออกแต่ยังเหลืออีก 200 เมตรกว่าจะถึง Otogar
ตอนนั้นฉันคิดว่าจะแบกกระเป๋าของตัวเองไปฝากไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาแบกกระเป๋าคุณสำลีไปอีกรอบ แต่พ่อคุณก็บอกว่าไหวแล้วลุกขึ้นกัดฟันแบกกระเป๋าเดินกะเผลกไปจนถึง Otogar อาการน่าเป็นห่วงอย่างแรง มาถึงได้เวลารถออกพอดี
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ฟ้าเริ่มมืด
แต่ที่นึกว่าเรื่องจบแล้ว ไอรถตู้มันดันมาปล่อยไว้กลางทาง แล้วบอกว่าเดินไปใกล้ๆก็ถึง หรือไม่ก็ต่อแท็กซี่ไปก็ได้ เอากระเป๋าพวกเราลงมากองริมถนนแล้วขับฟิ้วไปเลย พ่องงงง ไหนฟะสนามบิน คุณสำลีก็เจ็บอยู่ด้วย
ขณะที่กำลังงงอยู่ โชคดีที่มีผู้นำ (ที่โดนปล่อยลงมาด้วย) เดินนำไป
ที่มันบอกว่าใกล้ๆ ใกล้มากกกกกกกกกกก (ประชด) กว่าจะเดินมาถึงสนามบินเลยเอาเหงื่อแตก ดีนะที่มีผู้นำทาง ไม่งั้นหลงไปนานแล้ว แล้วอาคารผู้โดยสารขาออกอยู่หน๋ายยยย ฮือออออ
เดินไปมากกว่า 1 กิโลแน่นอน ในที่สุดก็เจอตึกจนได้
คุณสำลีเริ่มเดินไม่ไหว ก็หาช่อง Check-in ของ SunExpress เจอพอดี ฟิ้ว
Check in เสร็จ ภารกิจต่อไปคือหาร้านขายยาเพื่อซื้อผ้ายืดรัดขา แต่เภสัชดันพูดอังกฤษไม่ได้ แล้วก็ดันบอก no no ตรูก็ว่า no อะไร พอพยายามถามต่อ นางก็ทำเสียงเครียดตาดุตวาดเบาๆว่า no English คือตอนนั้นงงจริง คือนี่พวกเรามาซื้อในโซน International Departure นะเฟ้ย แล้วทำไมต้องดุกันด้วยเนี่ยยย วนเวียนอยู่ในร้านซักพักก็หาเองจนเจอ โดนไป 20 TL ถ้วน
อาหารเย็นวันนี้จัด Burger King มา 1 ชุด 28.5 TL คนป่วยพยายามฝึนร่าเริงเพื่อไม่ให้เป็นห่วง แง สงสาร
กินเสร็จเดินเข้าเกทไปรอไม่นานก็เรียกขึ้นเครื่อง ลืมบอกราคา ทริปนี้คนละ 22 EUR หรือประมาณ 880 บาท
เครื่องขึ้น มีเด็กร้องทั้งไฟลท์แต่ฉันก็หาได้แคร์ไม่ หลับสนิทจนถึง Kayseri Airport
คนเป็นล้านมายืนรอกระเป๋า ของพวกเรามาเป็นใบท้ายๆเลย
คราวนี้ถึงเวลาลุ้น ฉันตกลงกับทางโรงแรมให้จัดรถมารับจากสนามบิน Kayseri ตอนออกไปเห็นอยู่ 3 ป้าย ตื่นเต้นมาก ไล่อ่านชื่อทีละป้ายจนเจอชื่อตัวเองป้ายสุดท้าย แทบจะกระโดดเข้าไปกอดคนมารับ ถ้าหาไม่เจอนี่ยุ่งแน่ ด้วยคุณสำลีสภาพไม่เต็มร้อยแบบนี้ยิ่งอยากให้ถึงโรงแรมแล้วพักผ่อนให้เร็วที่สุด
คนขับรถพาพวกเราไปยังรถตู้ที่จอดรออยู่ มีคนอยู่เต็มคันนั่งรอพวกเราอยู่ คงกำลังด่าว่าช้าอยู่ในใจแน่ๆ เอิ๊ก
รถออก เพิ่งตระหนักได้ว่า คนที่ตุรกีมีนิสัยขับรถซิ่งเหมือนกันทั้งประเทศ ไฟทางด่วนก็ไม่มี แม่เจ้า คือเห็นดาวได้ทั้งฟ้า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พี่แกเหยียบไปไม่ต่ำกว่า 120 จะ 140 ด้วยซ้ำ ฉันเลยบอกคุณสำลีว่าขอนอนก่อน ตรูกลัว
ด้วยอภินิหาร เราก็มาถึงโรงแรม Sultan Cave Suites ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ระยะทางจากสนามบินประมาณเกือบ 80 กิโลเมตร
มาถึงก็เข้าฟัง Hotel Breifing กันก่อน เจ้าของอวดสรรพคุณใหญ่ว่าห้องอาหารที่นี่ขึ้นชื่อมาก Top 5 Top 3 อะไรก็ไม่รู้เลยจองกินมันซะเลย พนักงานโรงแรมก็จัดแจงนัดแนะเวลาขึ้นบอลลูนกับไปทัวร์พรุ่งนี้ และพาพวกเราไปยังห้องพักที่ได้จองไว้
สภาพภายนอกโดยรวม
มาถึงห้องแล้ว เข้าไปดูข้างในกัน
ห้องที่พวกเราเลือกไว้คือเบอร์ 308 เป็นห้องแบบถ้ำหิน คืนละ 60 EUR หรือ 2,250 THB ด้วยเรท 1 EUR = 37.5 THB ค่อนข้างใหญ่สมราคาพอสมควร
จากอีกมุม
ดูห้องน้ำกันบ้าง เล็กไปหน่อยแต่ก็โอเคอยู่
อภินันทนาการจากโรงแรม
ดึกแล้วเลยรีบอาบน้ำนอน เตรียมเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้เพราะต้องตื่นเช้ามากไปขึ้นบอลลูนกัน ส่วนคุณสำลีกินยานอน หวังว่าพรุ่งนี้จะอาการดีขึ้น
ตอนหน้าขาวโพลนแน่นอน เตรียมตัวหนาวได้