เมื่อฉันได้บินฟรีไปเยี่ยมชม Duke University (Fuqua School of Business)

โพสต์นี้เป็นภาคต่อของโพสต์ ‘เส้นทางสู่ความฝัน ฉันจะไป Top U’ (เพื่อความต่อเนื่อง ใครยังไม่ได้อ่านก็คลิกที่ link นี้ได้เลยค่ะ)
ป.ล. ภาพในโพสต์นี้จะคุณภาพแย่หน่อยเพราะมาจากกล้องมือถือล้วนๆจ้า

ย้อนกลับไปในวันที่ 13 Dec 2018 เวลาสามทุ่ม ตัวฉันที่นั่งปักหลักอยู่ที่ร้านไอติมอยู่กับแฟนเพื่อรอโทรศัพท์จาก Duke Fuqua (Fuqua คือชื่อ business school ที่เป็นของ Duke University) ธรรมเนียมของการตอบรับเข้าเรียนของ Top U คือจะมีหนึ่งใน Admission Committee ขอเรียกว่า Ad Com โทรมาหาผู้สมัครเพื่อคอนแกรตกับเจ้าตัวโดยตรง ทำให้วันนั้นจะลุ้นกันมากว่าจะมีโทรศัพท์เข้ามาหรือไม่ เนื่องจากเวลาบ้านเราต่างกับที่อเมริกาประมาณ 12-13 ชั่วโมง เราจะได้รับสายตอนดึกๆในวันที่ทางโรงเรียนบอกว่าจะประกาศผล แม้ว่าวันก่อนหน้า ฉันจะได้ offer จาก Kellogg มาการันตีว่าได้ไปเรียนต่อแน่ๆแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้เพราะ Fuqua School of Business เป็นที่ที่ฉันอยากเข้าไปเรียนมากจริงๆ พอมีเบอร์ +1 จากอเมริกาโทรมาปุ๊บเลยต้องตั้งสติรับโทรศัพท์ด้วยความสุขุม สมกับที่เค้าคัดเลือกให้เข้าไปเรียน

Ad Com: Hi. May I speak with Jane?
Me: Speaking
Ad Com: Congratulations! You’re accepted to Fuqua School of Business.
Me: (ตั้งสติมาแล้วเลยสามารถพูดด้วยความคูล) Thank you and thank you so much for calling me.
Ad Com: My pleasure. In addition, we also want to congratulate you that you are awarded Keller scholarship which is full scholarship that only 5 persons are awarded each year.
Me: !?!… you mean… I got 100% percent scholarship?
Ad Com: Yes, it will cover all of your tuition fee. @#$#^$#@!#W$^ free flight and accommodation @!%%$#%@#! to attend our $#@ weekend. (ฟังไม่รู้เรื่องไปแล้วสติหลุด)

 

ด้วยความสติแตก เลยฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าเค้าพูดว่าอะไรต่อจากนั้น ได้แต่เปรยแบบงงๆกับแฟนว่า เราได้ยินว่า ฟรีๆ อะไรเนี่ยแหละนาย สมองประมวลผลไม่ทัน ช่างมัน

Blue Devil Weekend

หลังจากนั้นสองสัปดาห์ ในขณะที่กำลังหน้าเหี่ยวอยู่กับการปั่นงานให้ทันเดดไลน์ ก็มีเบอร์ +1 โทรมาอีกรอบ แนะนำตัวเองว่าชื่อ Steve เป็น Assistant Dean of Fuqua อ๋อ ค่า ไนซ์ ทู ทอล์ก ทู ยู เดี๋ยวนะ เป็นใครนะ รองคณบดี เอ้ยยยย มือสั่น ท่านโทรมามีอะไรเจ้าคะ Steve ไม่พูดมาก ถามเลยว่าตกลงจะมาเยี่ยมโรงเรียนไหม ไม่เห็นตอบอีเมลกลับมาเลย จะได้จัดการจองตั๋วจองโรงแรมให้เรียบร้อย บลาๆ ตอนนั้นคิดอยู่ในใจอย่างเดียวเลย อีเมลอะไรฟระ

อีเมลฉบับนั้นถูกจีเมล classify ไปอยู่ junk box เรียบร้อย (ตาเถรกรรมเวร) เนื้อหาหลักๆก็คือการชักชวนให้ไปเข้าร่วมงานที่ชื่อว่า “Blue Devil Weekend” โดยทางมหาลัยจะออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างทั้งค่าเครื่องบินและที่พัก เอาแต่ตัวมาเท่านั้น

Source: https://blogs.fuqua.duke.edu/duke-mba/2019/02/01/charlotte-whittaker/bdw-convinced-me-to-come-to-fuqua?category=admissions

เป็นที่รู้กันว่า คนที่ได้รับ offer จาก Top U ที่หนึ่ง มักจะได้รับ offer จาก Top U ที่อื่นๆด้วย บทบาทจะสลับกันคือ แต่ก่อน ผู้สมัครทำทุกวิถีทางให้มหาลัยเลือกและให้ offer เรา มาถึงจุดนี้ มหาลัยก็จะทำทุกวิถีทางที่จะให้คนที่ได้ offer จากหลายๆที่เลือกเค้าด้วยเช่นกัน (เพราะ % การตอบรับ offer จะถูกเอาไปคิดใน ranking ด้วย) ดังนั้น หนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่ทุกมหาลัยจะมี ก็คือจัดกิจกรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์ (weekend) ก่อนที่จะหมดเขตจ่าย deposit ค่าเล่าเรียน เพื่อเป็นการ build คนที่ยังลังเลอยู่ในรีบจ่ายเงินจองที่เข้ามานั่นเอง

6-12 Feb 2019 ทริป 6 วันกับการบินลัดฟ้าสู่อเมริกา

ตัวฉันเป็นคนที่มี biological clock ที่ sensitive มากและเกลียดความทรมานจากการ jetlag เข้าเส้น ประกอบกับอยากตัดสินใจเลือกมหาลัยระหว่าง Kellogg กับ Fuqua ด้วยความเที่ยงธรรมในหัวใจจริงๆ (เพราะหลายๆคนบอกว่าถ้าไป Blue Devil Weekend ของ Fuqua แต่ดันไม่ยอมไป Day At Kellogg ที่จัดก่อนหน้านี้แค่สัปดาห์เดียว ยังไงก็ต้องลำเอียงเลือก Fuqua แน่ๆ) เลยเกิดอาการลังเลไม่ยอมตัดสินใจ แต่พอโดนคนจาก Ad Com โทรมาโน้มน้าวอย่างหนักหน่วงหลายรอบ ประกอบกับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ทริปมูลค่าเกือบสองแสนนี้ ‘ฟรี’ นะเฟ้ย เลยลางานแล้วเก็บกระเป๋าอย่างเร่งด่วนบินไปอเมริกาทันที

6 Feb 2019

เริ่มต้นการเดินทาง

รูทในการบินครั้งนี้ช่างแปลกสิ้นดี เริ่มต้นที่ Bangkok -> London (transit) -> Durham ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของมหาลัย มองในแง่ดีคือต่อเครื่องแค่รอบเดียวเท่านั้นเพราะที่ลอนดอนมีสายการบินตรงไป Durham เลย แต่ถ้าคิดอีกมุมคือจะไม่มีโอกาสแว๊บไปเยี่ยมชมมหาลัยไหนในอเมริกาแน่ๆ (รูทปกติคือคนจะบินไปทางทางขวามือต่อเครื่องที่ญี่ปุ่นและไปต่อเครื่องอีกทีในประเทศอเมริกาเพื่อไป Durham)

เนื่องจากฉันไม่มีวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ แล้วก็ไม่มีคนบินไปอเมริกาด้วยเส้นทางแบบนี้ เลยถูกกักตัวไว้ที่เกทเกือบสิบนาทีให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ค passport และโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่รู้วุ่นวายจนผ่านเข้าไปนั่งในเครื่องบินได้ในที่สุด

เปลี่ยนเครื่องที่ลอนดอน

บินเดี่ยวไป 13 ชั่วโมง คุยกะป้าบริชติชที่นั่งข้างๆแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างจนเหงือกแห้ง ฉันก็ได้เหยียบเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรก เนื่องจากการบินไทยกับ American Airlines ไม่ใช่พันธมิตรทางการค้าหรือที่เรียกว่า Star Alliance กัน ฉันเลยไม่มีตั๋วขึ้นเครื่องไฟลท์ถัดไป กำลังนั่งหนาวท่ามกลางอุณหภูมิ 8 องศารอรถ shuttle bus ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆกลัวตีตั๋วเที่ยวถัดไปไม่สำเร็จ ก็มีลุงป้าคู่หนึ่งมานั่งรออยู่ข้างๆ

อั๊งเคิล: Such a long fight. Exhausted.
มี: (คุยกะกุใช่ไหม หันไปรอบๆให้ชัวร์อีกที) Yes…such a long flight.
อั๊งเคิล: เล่าให้ฟังว่าเพิ่งกลับมาจากเยี่ยมลูกสาว หนาวและหิวมาก บลาๆ มีภรรยาพยักหน้าเป็นลูกคู่ สำเนียงแปลกฟังไม่ค่อยออก
มี: (หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยว่าจะไปลงที่ terminal เดียวกันก็เกิดเอะใจ) Where’re you going again?
อั๊งเคิล + อ๊านตี้ Lebanon.
มี: … (อ้าว กุนึกว่าไปเมกาด้วยกัน งั้นลุงกะป้าลงอีก terminal เลยนะ)

 

ฉันเดินทางคนเดียวรอบนี้ครั้งที่ 2 (รอบที่แล้วก็ไปอเมริกาคนเดียวเหมือนกัน) เสน่ห์อย่างหนึ่งคือจะมีคนมาคุยด้วยเยอะมากจนงง จนขนาดไปตีตั๋วที่เคาน์เตอร์ American Airlines พนักงานถามจนนึกว่าเป็น ต.ม. แบบทำอาชีพอะไรอยู่ที่เมืองไทย ทำไมเค้าถึงให้ทุน แล้วไปพักกับใคร พอเค้าเห็นฉันหน้าซีดรื้อค้นเอาหลักฐานทั้งหมดขึ้นมาโชว์ก็หัวเราะ บอกว่าถามดูเฉยๆ แถมยังช่วยให้ได้ที่นั่งข้างทางเดินแบบไม่ต้องเสียเงินจอง 10$ อีกต่างหาก

พอผ่านมาได้แล้วก็ได้เวลาไปรออีก 6 ชั่วโมง ดีที่ไม่ได้ยกเลิกบัตรเครดิตของซิตี้แบงค์ไปก่อน เลยได้โอกาสใช้สิทธิไปนั่งตัวมอมๆอยู่ในเล้าจน์หรูกลางกรุงลอนดอนทั้งๆที่สั่งอาหารก็ยังไม่เป็นด้วยซ้ำ

Welcome to Durham

นั่งเครื่องต่ออีก 9 ชั่วโมงพอดิบพอดี ก็ถึงเมือง Durham ในรัฐ North Carolina ในที่สุด บอกได้คำเดียวเลยว่าเขียวมากๆ

หน้าที่ต่อไปของฉัน คือการหาซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับคนขับรถที่ทางโรงเรียนส่งมารับ แต่อนิจจา Durham ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าซิมโทรศัพท์สำหรับนักท่องเที่ยวคืออะไร บุ้ยใบ้ให้ไปใช้โทรศัพท์ที่ Information Center อย่างเดียว

เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้า

ติดต่อคนขับรถได้ก็ค่อยโล่งใจไปเปลาะ คนขับรถเป็นคนผิวสีและเป็นมืออาชีพมาก พอรู้ว่ายังไม่เคยมา Durham เท่านั้นแหละ พี่แกขับวนในเมือง ชี้ให้ดูว่าผับบาร์อยู่ตรงไหน (พี่เห็นหนูเป็นคนยังไงคะ) เชียร์ให้เข้า Fuqua เหมือนโดน Ad Com จ้างมาโฆษณา ขับพาทัวร์ไปวนใน Duke University รอบนึงเป็นน้ำจิ้ม

ที่เห็นในรูปเรียกได้ว่าเป็น Top Attraction ของมหาลัยเรียกว่า Duke University Chapel โบสถ์เก่าที่ขลังและสวยเอามากๆ ใครเรียนจบก็จะต้องมาถ่ายรูปกับสถานที่แห่งนี้เป็นท่าบังคับ

ประมาณครึ่งชั่วโมงจากสนามบิน รถก็วนมาจอดที่หน้าโรงแรมพอดี (ซึ่งอยู่ในมหาลัยและอยู่ติดกับติดเรียนของ Fuqua School of Business เลย) ทีเดียว

ห้องนอนแบบหรูมาก เห็นแล้วอยากจะโถมตัวลงไปนอนให้สมกับความเหนื่อยในการเดินทางเกือบ 30 ชั่วโมง

กำลังตื่นเต้นดูนู่นดูนี่ ก็มีเจ้าหน้าที่มาเคาะประตูแล้วยื่น welcome gift ให้ เป็นการ์ดเขียนมือของ Dean of Admission และเจ้าหน้าที่อีกคนที่ติดต่อกันมาตลอดชื่อ Mandy ข้างในมีผ้าขนหนูและบัตรของขวัญเป็นส่วนลดไปเล่นกอล์ฟ (Durham ดังเรื่องสนามกอล์ฟมาก) Fuqua นี่สายเปย์ตัวจริง

แต่ก่อนจะล้มตัวนอนให้หายอยาก ก็ต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเดี๋ยวเพื่อนคนไทยจะมารับไป house party พบปะคนไทยที่มาเรียนที่ Duke University ในปัจจุบัน (ไม่แค่ MBA แต่มีทั้งปอตรี ปอโท ปอเอกในสาขาอื่น)

ถ้าจะเรียนอยู่ที่นี่ยังไงก็ต้องมีรถ เพราะอะไรๆมันห่างไกลกันเหลือเกิน รถคุณเพื่อนที่เอามารับนี่มันคูลมาก เค้าชื่อสาม เลยไปทำทะเบียนมาเป็น SAMFUQUA แม่งอย่างเท่

กินเสร็จแล้วก็กลับมาที่โรงแรมพร้อมเบียร์ 1 ขวด ในเวลาประมาณเที่ยงคืนพอดี

7 Feb 2019

เดินเล่นใน Duke University

แม้กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนแล้ว แต่ความ jetlag ก็เล่นงานให้ตื่นตั้งแต่ตี 4 อดทนต่อความหิวจนห้องอาหารเปิดก็ได้เวลาไปกิน buffet ฟรี อภินันทนาการโดย Fuqua สายเปย์

คือเป็นคนแรกของวันจริงๆ เพราะไม่มีใครบ้ามากินตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี

เมนูที่กินประจำ 4 วันที่อยู่ที่นี่ สาเหตุหลักคือกินอย่างอื่นไม่เป็น กินไข่นี่แหละปลอดภัยสุดๆ

ก่อนจะไปเจอ Mandy ในตอนบ่าย วันนี้มีเพื่อนอีกสองคนที่เจอกันที่ house party เมื่อวาน อาสาพาไปเดินรอบๆมหาลัย เริ่มด้วยตึกเรียนของ Fuqua School of Business

คือถ้าตกลงปลงใจจะเรียนที่นี่จริงๆ ตึกนี้จะเป็นที่สิงสถิตย์ใหม่ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า

จำไม่ได้ว่าตึกของคณะอะไร น่าจะ Law School นี่แหละ กลางคืนต้องหลอนแน่ๆ

นอกจากจะดังเรื่องกอล์ฟแล้ว Duke University ยังดังเรื่องบาสมากกกกกก โดยคนที่ทำให้ทีมบาสของมหาลัยดังได้นั่นนามสกุล Krzyzewski หรือเรียกกันว่า Coach K. และเพราะว่าตั๋วดูบาสมีจำกัด ไม่เพียงพอต่อความต้องการอันล้นหลาม เลยเกิดเป็นกิจกรรมอันเลื่องลือที่ชื่อว่า Camp-out เกิดขึ้น คือการมา camping อยู่ข้างหน้าโรงยิมเพื่อให้มีโอกาสในการซื้อบัตรเข้าชม รุ่นพี่ที่จบที่ Fuqua มามักจะบอกว่ากิจกรรมนี้นี่คือพลาดไม่ได้ เพราะแม้จะไม่ได้ชอบดูบาสหรืออยากได้ตั๋วก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นสีสันสำคัญของชีวิตเด็ก MBA ที่จะต้องมาตั้งแคมป์กับเพื่อน ระหว่างรอเช็คชื่อ (คือจะมีการเช็คชื่อเป็นระยะว่าได้แคมป์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้จริงๆ) ก็จะมีการรังสรรค์กิจกรรมต่างๆ ทั้งกินบาร์บีคิวกัน เปิดเพลงแดนซ์กระจาย ฯลฯ แต่ที่เห็นในรูปเป็นการ Camp-out ของเด็กปอตรีและคนทั่วไป ซึ่งกินเวลายาวนานกว่าของเด็ก MBA และมีความซีเรียสกว่ามาก

สนามเทนนิสยังสวย

เดินถึงในส่วนของปอตรี ขลังไปได้อีก

มีซุ้มโค้งด้วย อย่างกับอยู่ในปราสาท

เดี๋ยวจะเดินอ้อมไปถ่ายข้างหน้าโบสถ์

จุดหมายปลายทางในวันนี้ Duke University Chapel แบบเห็นกันเต็มๆ

วิวโดยรอบ สวยมว๊ากกกกกกกก

มหาลัยกว้างขวางขนาดต้องมี shuttle bus รับส่งคนที่เดินไม่ไหว

ก่อนกลับโรงแรม ขอแวะซื้อของที่ร้านขายของที่ระลึกซักหน่อย เป็นร้านสองชั้น ใหญ่โตกว้างขวางมาก

คือของเยอะมากจนตกใจ ตั้งแต่พวกพื้นฐาน เช่น หมวก แก้วน้ำ ชาม เสื้อ

ไปจนถึงชุดเด็ก โอ้ว มาย ก็อด น่ารักมากจนต้องซื้อไปฝากพี่ที่รู้จักที่กำลังจะมีน้อง 2 ชุด

หมดตัวไปหลายพันก็กลับมาถึงโรงแรมในที่สุด

ทดลองเรียนในคลาสเรียนจริง

ตอนบ่าย Mandy มารับไปทดลองเรียนในคลาสเรียนจริงๆวิชา Finance โดยฉันโชคดีที่ในคลาสนั้นมีทั้งให้นักเรียนออกมา present case study ที่อาจารย์ให้ไปทำเป็นการบ้าน ประกอบกับมีตัวละครจริงๆที่เป็นผู้บริหารของบริษัทที่อยู่ใน case study มาพูด ตบท้ายด้วย professor มาสอนทฤษฎีที่ถูกใช้อยู่ใน case นั้น จริงๆแอบกลัวว่าจะเรียนไม่รู้เรื่องเพราะ background ก็ไม่มี อ่าน case อะไรกับเค้าก็ไม่ได้อ่าน แต่ผลลัพธ์ออกมากลับรู้สึกว่าสนุกกว่าที่คิด สมแล้วที่เพื่อน (สาม) บอกว่าวิชาเกี่ยวกับพวก Accounting หรือ Finance ของที่ Fuqua สอนได้สนุก

ตอนเย็นมีรถมารับไปกินอาหารอิตาเลี่ยนกับ Dean of Admission และ Keller Scholar รุ่นปัจจุบันที่ประกอบไปด้วยชาวอเมริกันทั้งหมด รับรู้มาว่าปกติ Keller Scholar ไม่ค่อยมีต่างชาติและฉันก็เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ทุนนี้ด้วย ดูความคาดหวังของทุกคนสูงมากว่าฉันต้องมีอะไรว้าวแน่นอน จนรู้สึกกดดันอยู่กลายๆ อ๊ากกก

8-9 Feb 2019

กิจกรรม Blue Devil Weekend

และแล้วก็มาถึงกิจกรรมหลักที่ทำให้ฉันมาอยู่ที่นี่ ในช่วงเช้าจะเป็น session เกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงินของโรงเรียน ส่วนฉันที่เค้าเห็นว่าคงรอดแล้วจากการได้ทุนเต็ม ก็โดนจัดตารางให้เวียนคุยกับผู้บริหารและ professor ของ business school เริ่มต้นจากกิน breakfast กับ Steve ตอนเช้า และเดินสายพบปะกับผู้บริหารอีก 2 คน บอกตามตรงคือรู้สึกกดดันมาก ภาษาก็ใช่ว่าจะดี แถมฉันยังไม่ถนัด small talk กับคนอเมริกันอีก ทำเอาเหงื่อตกไปหมด

เจอเจ้านี่ระหว่างกำลังรอเข้าไปถูกเชือด เอ้ย เข้าพบ นอกจากจะมี wifi ฟรีแล้วยังสามารถเอาโทรศัพท์มาชาร์ตได้ฟรีอีกตั้งหาก

คุยไปสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้เข้า event หลัก ฉันเป็น 1 ใน 4 international student ที่บินลัดฟ้ามางานนี้ จากผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด 170 คน (ที่เหลือเป็นพี่มะกันหมดเลยจ้า) นอกจากฉันก็มีที่มาจากจีน เกาหลี ดูไบ สรุปเลยกลายเป็นว่าเดี้ยนบินมาไกลสุด (แน่ละสิ ถ้าไม่ฟรีใครมันจะบินมาร่วมงานแค่สองสามวันแล้วกลับ)

หลังจากพิธีเปิดอันอลังการ ก็ถึงคราวแบ่งกลุ่มพาชมมหาลัย กลุ่มฉันมีทั้ง Asian-American (ฉันสนิทกับกลุ่มนี้ได้ดี อาจจะเป็นเพราะหน้าตาคล้ายๆกันมั้ง) American จ๋า ที่สวนใหญ่จะพาแฟน ภรรยา หรือ สามี (หรือที่เรียนกันว่า JV) มาดูมหาลัยพร้อมกันด้วย (ชาวมะกันหลายๆคนมักจะพาแฟนย้ายตามมา หรือมาอยู่ด้วยในขณะเรียน โดย JV สามารถเข้าไปขอ sit-in ในคลาสเรียนจริง และเข้าร่วมบางกิจกรรมหรือชมรมได้อีกด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นผู้ที่มี potential สูงมากในการสมัครเข้าเรียนในปีถัดไปเลยทีเดียว)

ตกดึกพวกรุ่นพี่มีแผนจะพาพวกเราไปแดนซ์ที่ผับกัน แต่เนื่องจากฉันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต เลยไม่รู้ว่าหลังจากเมาแล้วจะหาทางกลับยังไง ประกอบกับกำลัง jetlag ขั้นรุนแรง จึงเลือกที่จะไม่ไปแต่ออกมาเดินเล่นรอบๆท้าอากาศ 0 องศาแทน (อากาศที่นี่สวิงมากๆ มาวันแรกยัง 20 องศาต้นๆอยู่เลย อยู่ดีๆลง 0 เฉย)

สนามกีฬาน่าลงไปวิ่งมากๆ

Blend-in ไม่ได้ !?!

เช้าวันถัดมา ฉันเริ่มรับรู้ถึงปัญหาของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ คือไม่สามารถเดินเข้าไปพูดคุยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆชาวมะกันได้ ยิ่งถ้าพูดคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆยิ่งไม่มีที่ให้เราแทรก เป็นความรู้สึกที่ awkward มากๆ ยังดีที่มีชาว Asian-American กับชาวมะกันอีกกลุ่มที่ผูกมิตรไว้เมื่อวาน ทำให้ยังมีคนคุยด้วยอยู่ ส่วนอาหารก็ไม่ค่อยถูกปากซักเท่าไหร่ ช่วงพักเบรคจาก session ต่างๆ เลยตัดสินใจ ออกไปลุยหาอาหารเอเชียกินซะเลย พอเดินออกมาจากตึกค่อยพบว่า เอ้ย ช่วงพระอาทิตย์ตกนี่สวยชะมัด

ไม่น่าเชื่อว่าได้ข้าวสวยและไก่ร้อนๆจะทำให้ความเฟลอันตรธานหายไปได้ 80% จริงๆ

เหมือนอยู่ในยุโรปเลย (ตามที่เคยเห็นในอินเตอร์เน็ตนะเพราะยังไม่เคยไปมาเหมือนกัน)

Karaoke กับแก๊งคนเอเชีย

ไหนๆก็เข้ากับพวกมะกันไม่ได้อยู่แล้ว พอเพื่อนสามชวนไป Karaoke Night ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชมรม Asian Business Club จัดขึ้นก็เลยทิ้ง Closing Party และขอติดสอยห้อยตามไปร้องเกะด้วยทันที พอถามสามเรื่องการเข้าสังคมกับคนมะกันก็ได้ความว่ามันก็จะยากหน่อยช่วงแรกๆ ก็เลยคลายความเครียดได้บ้าง แต่ทดไว้ในใจว่าจะต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ตอนเข้าเรียนจริงๆ (จะทำไงก็ยังไม่รู้นะ 555)

10 Feb 2019

Apartment Tour

ช่วงเช้าเป็นการไปดูอพาร์ทเมนท์ที่นักเรียน MBA ส่วนใหญ่พักกัน ฉันเรียกแท็กซี่ไปที่ Station Nine (แหล่งรวมชาว MBA ที่ไม่ใช่คนไทยเพราะมันแพง 555) รู้เลยว่าทำไมค่าห้องถึงได้ปาไปเกือบถึง 2,000$ ต่อเดือน

คือใหญ่มากจริงๆ ใหญ่กว่าห้องที่ฉันเช่าอยู่ที่สาทรซัก 5 เท่าได้มั้ง

ประเด็นคือ จะได้ห้องเปล่าๆนะ พวกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย เตียง ตู้ พวกนี้ ต้องหาซื้อกันเข้ามาเองจ้ะ

อยู่ได้ประมาณ 3 คนสบายๆ

Find a way to go back home

ช่วงบ่าย Fuqua สายเปย์ก็จัดการส่งรถมารับที่โรงแรมเพื่อพาไปสนามบิน ทุกอย่างดูเรียบร้อยราบรื่น กำลังจะโบกมือบ๊ายบายเมืองที่เงียบสงบแห่งนี้ แต่ก็ดันติดปัญหาซะก่อน

ปัญหาที่ 1: เจ้าหน้าที่ของ American Airlines บอกว่า ตั๋วที่จองไว้ไม่ได้มี check-in luggage นะคะ ต้องซื้อเพิ่ม 60$ คิดเล็กน้อยว่าทั้งทริปก็แทบไม่ได้จ่ายอะไร เลยตัดสินใจส่งบัตรเครดิตให้เจ้าหน้าที่เอาไปรูดเพื่อโหลดกระเป๋าใบใหญ่เกินจะ carry-on ลงท้องเครื่อง

ปัญหาที่ 2: ถามไปถามมา เจ้าหน้าที่บอกว่า กระเป๋าจะไม่ check-through นะจ้ะ เพราะเพราไม่ได้เป็นพันธมิตรกับการบินไทย ผู้โดยสารจะต้องออกมารับกระเป๋าไป check-in ใหม่เอง โคตรซวย เพราะนอกจากจะเสียตังค์ 60$ ไปฟรีๆ ฉันที่ไม่มีวีซ่าเข้าอังกฤษก็จะออกจาก transit area ไปเอากระเป๋ามาไม่ได้ คิดได้อย่างแรกคือพยายามโทรหา Mandy เพื่อฝากกระเป๋าไว้ แต่เพราะเป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดของ Mandy เลยถูกโอนไปให้ฝากข้อความ ฉันฝากข้อความไปครึ่งทางก็ล้มเลิกความตั้งใจเพราะกว่า Mandy จะมาฟัง ฉันคงถึงประเทศไทยแล้ว

ตอนนั้นคือเริ่มต้น unpack หาถุงพลาสติกใส่ของที่จะเอากลับจริงๆมา อันได้แก่ของฝาก เครื่องสำอาง และเสื้อหนาวยี่ห้อ North face ตัวคู่ใจที่กัดฟันซื้อมาเป็นหมื่น ส่วนที่เหลือตัดใจปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ละนะ ช่างมัน

แยกของเกือบเสร็จ เจ้าหน้าที่วิ่งมาตาม บอกว่าคนชื่อ Mandy โทรกลับมา โล่งอกมาก Mandy บอกว่า อะไรดลใจไม่รู้ให้เธอเช็คอีเมลแล้วเจอข้อความครึ่งๆกลางๆของฉันเข้า เธอบอกจะรีบซื้อกระเป๋า carry-on มาให้ที่สนามบิน ส่วนที่เหลือจะหาทางส่งกลับไปให้ที่ประเทศไทยทีหลัง ส่วนเงินที่เสียไปแล้วเจ้าหน้าที่บอกว่าระบบมีปัญหาช่วงนั้นและรูดไม่ผ่านพอดี (โหย อะไรจะเป็นใจได้ขนาดนั้น) ฉันเลยได้แต่นั่งรอและพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆคลายความเครียด

ปัญหาที่ 3: Mandy มาพร้อมกับกระเป๋าใบเล็กในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ฉันเหลืออีกแค่ไม่ถึง 20 นาทีก่อนเครื่องออกเลยต้องรีบย้ายของออกมาให้เร็วที่สุด ขณะกำลังจัดกระเป๋าใหม่อยู่นั้น เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินออกมาบอกว่า “เอ่อ นอกจากกระเป๋าแล้ว ตัวผู้โดยสารก็ต้องผ่าน ต.ม. ออกมาตีตั๋วไฟลท์ถัดไปอยู่ดี เพราะไม่มี counter การบินไทยอยู่ใน transit area” ณ จุดๆนั้นคือฉันวางมือจากการจัดกระเป๋าแล้ว ทำใจว่าวันนี้ยังไงคงไม่ได้กลับแน่ๆ Mandy ปรี่ไปที่เคาน์เตอร์ทันทีที่ได้ยินเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่เช็คหนทางอื่นให้ ในขณะที่กดโทรศัพท์หา agency ที่รับผิดชอบในการจองตั๋วเครื่องบินยิกๆ

Mandy: They don’t pick up the phone. I’m so angry.
Me: (มองหน้าเธอพร้อมคิดในใจ You’re angry but I’m hopeless. อยากกลับบ้านแล้วโว้ย)

พลังของคนชาติเดียวกันมันใช้ได้จริงๆ ฉันที่ใช่ว่าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ยืนต่อรองเรื่องกระเป๋ากับคุณป้าเจ้าหน้าที่อยู่ตั้งนาน นางไม่ทำอะไรนอกจากพูดว่า I’m sorry but no, it’s our policy. พอ Mandy มาคุย คุณป้าให้ความร่วมมือดีมาก แถมยังไปเรียกคุณพี่ที่น่าจะตำแหน่งสูงกว่ามาช่วยกันอย่างแข็งขัน สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า ถ้าฉันมีวีซ่าของอเมริกาและมี iternary ที่จะต้องขึ้นเครื่องในไฟลท์ถัดไปอย่างชัดเจน ฉันก็น่าจะผ่าน ต.ม. อังกฤษ ออกมาเอากระเป๋ากับตีตั๋วไฟลท์ถัดไปได้ Mandy ดีใจใหญ่ รีบรูดบัตรจ่ายให้ฉันสามารถเช็คกระเป๋าใบใหญ่ลงท้องเครื่อง ในขณะที่ฉันปลดปลงอยู่ในใจ

‘น่าจะ’ หรอ หมายความว่าฉันจะต้องบินไปอังกฤษอีก 8 ชั่วโมงเพื่อเผชิญกับความเสี่ยงในการติดอยู่ที่ ต.ม. กลางกรุงลอนดอน 

ฉันพยายามชี้ข้อนี้ให้ Mandy ฟังแต่เธอหันมายิ้มแฉ่งใส่ฉันแล้วบอกว่าเพื่อนร่วมงานของเธอกำลังขึ้นเครื่องไปเที่ยวกับสามีในไฟลท์เดียวกับฉัน และจะไป transit ที่ลอนดอนพอดิบพอดี โซ ลัคกี้

จ้ะ แต่เค้าจะอยู่ใน transit area ในขณะที่ฉันต้องออกมาเผชิญกับความอำมหิตของ ต.ม. ไหม สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ไม่รู้มีหรือเปล่า จะขอความช่วยเหลือได้ยังไงฟะเนี่ย

แต่เอาเถอะ เหลืออีก 10 นาทีจะขึ้นเครื่อง ฉันเลยได้แต่วิ่งสุดชีวิตผ่านด่านสารพันตรวจเช็คไปถึงเกตได้ตอน boarding พอดิบพอดี ยกมือกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 ทิศ เร่งพิมพ์ข้อความส่งหาแม่ แฟน และน้องที่ทำงานว่าอาจจะกลับไม่ได้ตามที่บอกไว้ (ตอนที่นั่งรอ Mandy อยู่ก็สามารถตั้งสติต่ออินเตอร์เน็ตได้) แล้วขึ้นเครื่องบินสู่ประเทศอังกฤษ เลวร้ายสุดก็คงไม่พ้นหาซื้อตั๋วบินกลับมาตั้งต้นใหม่ที่อเมริกาแล้วทิ้งกระเป๋าที่โหลดไปไว้ละมั้ง

11 Feb 2019

ต.ม. ประเทศอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน

“You said you don’t have UK Visa!?!”

“You DON’T have UK Visa!”

“You DO NOT have UK Visa!”

เออ ถึงเมิงจะ paraphase อีกแค่ไหน กุก็ไม่มีหรอก วีซ่าเข้าประเทศเมิงอ่ะ

“Ma’am, you gonna get into a trouble.”

ฉันผู้ซึ่งโดนตวาดไป 4 รอบติด ท่ามกลางสายตาประชาชีที่ต่อคิวอยู่ข้างหลัง แทบจะลงไปกราบท่าน ต.ม. ให้ฟังกุก่อนได้ม๊าย พอสบช่องเค้าหายใจ เลยรีบอธิบายว่า ฉันมีวีซ่าอเมริกากับ iternary ที่ต้องบินต่อไปยังประเทศไทย แค่จะขอออกไปเอากระเป๋ากับตีตั๋วของไฟลท์ถัดไปเท่านั้น เชี่ย กุจะเป็น เดอะ เน็กส์ Tom Hanks ในเรื่อง The Terminal ป่าวฟระ น้ำตาคลอแล้วนะเว้ย

ท่าน ต.ม. (ที่หายใจเสร็จแล้ว) ฟังฉันรัวปะกิตสำเนียงกระเหรี่ยงใส่ กำลังจะด่าต่อแต่เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ เอามือไปคลิกๆที่จอใหญ่ ระหว่างนั้นมีเพื่อน ต.ม. ด้วยกันเอาช็อกโกแลตมาแจก ท่านเลยหันไปยิ้มรับแล้วหันกลับมาหรี่ตามองฉันที่ยืนหวาดผวาหน้าซีดอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“I can give you only 1 day stay, is it enough?”

โห เสียงสวรรค์ คุณท๊านนน 1 ชั่วโมงกุก็เอาแล้วจังหวะนี้ เห็นฉันพยักหน้าหงึกหงักเหมือนนกกระตั๊ว ท่าน ต.ม. ปั๊มแล้วเขียนอะไรขยุกขยิกใน passport เสร็จแล้วก็ส่งคืนพร้อมช็อคโกแลตก้อนนั้น แทนคำขอโทษที่ตวาดฉันไปก่อนหน้านี้ หึ ไม่ยกโทษให้หรอก

ฉันปรี่ออกไปเอากระเป๋าแล้วก็ไปตีตั๋ว แต่ก่อนจะเข้าเกตอีกรอบ ไหนๆก็สู้มาเพื่อวีซ่า 1 วันแบบนี้ ขอออกมาจากสนามบินให้เป็นศิริมงคลกับชีวิตหน่อยเหอะ

ได้กลับบ้านซักทีสินะเรา อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามกันจนจบ ขอยังไม่เฉลยว่าไปเรียนที่ไหน (เดี๋ยวไม่มีใครติดตามต่อ 55) แล้วเจอกันโพสต์หน้านะคะ สัญญาว่าไม่นานเกินรอ

6 comments

  1. Thanks for sharing. Your story’s very excited and great experience.

    For your return trip, these might tell us there’s always exception of the rule and each race may be not equal really. However we glad you came home safely.

    Please keep writting it because things you do are dream of ours.

    Can’t wait to next post.

  2. ทำไมถึงพยายามกับชีวิตมากขนาดนี้คะ?
    อยากเป็นแบบนี้บ้างจัง

    ตอนนี้เป็นคอลซัล แต่โดนหัวหน้าบอกว่ายังพยายามไม่พอ
    ตอนนี้ทำงานอยู่ประเทศที่ใช้ภาษาที่สามด้วย
    เลยคิดถอดใจแล้ว ว่าน่าจะทำไม่ได้

    ทำยังไงถึงได้ฮึด พยายาม สู้เหมือนพี่เจนได้นะ

    • สู้ๆนะคะ แค่คิดทุกวันว่าทำให้ดีที่สุดในทุกเรื่อง เราจะได้ไม่ย้อนกลับมาคิดเสียดายอะไรค่ะ

  3. คุณเจนเล่าตลกมากเลยค่ะ ชอบเรื่องราวที่นำมาเล่าทุกตอนเลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*