เรื่องเล่าของสาววิศวะ: ทำไมถึงเรียนวิศวะ

Series นี้จะขอเล่าย้อนไปถึงวัยเยาว์ครั้งยังเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย (เริ่มเขียน post รำลึกความหลังคล้ายคนแก่) ช่วงนี้ถือเป็น 4 ปีที่สนุกที่สุดในชีวิตของฉันจริงๆ

ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะ แล้วทำไมถึงเป็นวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นคำถามที่จริงๆไม่ค่อยมีใครถามฉันเพราะบุคลิกให้ ดูเหมือนจะเรียนได้ดี แต่จริงๆการเรียนวิศวะ ยิ่งวิชาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานจริงๆ แต่ก่อนที่จะพรรณนาไปถึงความทุกข์ ฉันอยากจะท้าวความก่อนว่าทำไมฉันถึงได้กลายเป็นสาววิศวะไปเสียได้

ตอนอยู่ ม. 3 เคยนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องการเรียนต่อมหาวิทยาลัย เนื่องจากฉันเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เพื่อนแต่ละคนจะตอบไปในทางอักษร พยาบาล บัญชี ซะมากกว่า จนมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “เราจะเอนท์เข้าวิศวะ ” (ตอนนั้นยังใช้ระบบ entrance อยู่ แก่เชียว =..=) ฉันก็จินตนาการเป็น นายช่างใส่หมวกแข็งสีเหลืองๆเดินคุมไซต์ก่อสร้าง อย่างเท่ แต่ตอนนั้นไม่เคยมีในหัวว่าจะเรียน จริงๆคิดไม่ออกด้วยซ้ำ

อาการคิดไม่ออกว่าจะเรียนอะไรมันเป็นต่อเนื่องมาจนถึงขึ้น ม.5 เนื่องจากว่าเรียนสายวิทย์ -คณิต ทางเลือกจึงเปิดกว้างพอสมควร เนื่องจากเป็นคนที่มีผลการเรียนค่อนข้างใช้ได้ คุณพ่อเลยจินตนาการว่าจะได้เห็นลูกสาวตัวเองอยู่ในชุดกาวน์ เป็นคุณหมอสาวในอนาคต

แต่ตอนนั้น เกิดอนุมานขึ้นมาว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นนักออกแบบบ้าน เลยแอบดื้อกับพ่อไปเรียนวาดรูปเพื่อสอบความถนัดทางสถาปัตยกรรม ไปนั่งหลังคดหลังแข็งวาดรูปอยู่หลายเดือน (ซึ่งความจริงก็เพลินดี) จนมาถึงวันที่พี่ที่สอนให้ทำแบบฝึกทักษะที่ต้องออกแบบสัญลักษณ์ให้สื่อออกมาเป็นคำที่ต้องการได้ทันที เช่น ป้ายวนอุทยาน นั่งนิ่งไป 1 ชั่วโมง ไม่สามารถวาดได้สัญลักษณ์ เลยเป็นจุดจบของเส้นทางสถาปิกไปโดยปริยาย

ช่วงนั้นได้มีโอกาสไปค่ายชีวะโอลิมปิกวิชาการ ได้เรียนอัดชีวะรัวๆก็ทำให้รู้ว่า ไม่ได้ชอบแนวนี้ แล้วพอจินตนาการไปถึงการเป็นคุณหมอ ซึ่งแม้จะเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติอย่างมหาศาล แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการ ฉันไม่อยากเจอคนป่วยทุกวัน ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล ที่สำคัญคือไม่อยากไปแข่งขันกับคนระดับโคตรหัวกระทิเป็นจำนวนมาก ฉันไม่มั่นใจว่าจะสอบเข้าไปได้

ถ้าย้อนกลับมาถึงสิ่งที่ชอบ คือฉันชอบภาษาอังกฤษ ฉันสามารถนั่งอ่านหนังสือ grammar ภาษาอังกฤษเป็นตั้งๆหรือไปเรียนพิเศษเองโดยที่ไม่ฝืนใจหรือรู้สึกเหนื่อย อีกทั้งฉันยังชอบอ่าน ชอบเขียน คณะอักษรจึงดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ตอนนั้นฉันยังคิดไปถึงคณะนิเทศ เป็น creative ทำงานโฆษณา ก็ดูเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

แต่พอเอาความคิดที่มาคุยกับพ่อ กลับถูกต่อต้าน พ่อกลัวฉันจะจบออกมาไม่มีงานทำ เพราะคนจบออกมาค่อนข้างเยอะและตลาดแรงงานไม่ได้รองรับสายอาชีพเหล่านี้ขนาดนั้น

เวลากระชั้นเข้ามา เราทะเลาะกันทุกวัน แต่แล้ว “ทางออก” ก็มาถึง ฉันไปรู้มาว่ามีโควต้าเข้าวิศวะที่สถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ และฉันอยู่ในข่ายที่สามารถสมัครได้ ถึงฉันจะไม่รู้จักสถาบันแห่งนั้น แต่ฉันก็ตัดสินใจลองไปเข้าค่ายเพื่อดูสถานที่และบรรยากาศก่อนสมัครโควต้าที่ว่า

พ่อฉันเห็นด้วยกับการเรียนวิศวะ ขับรถไปส่งฉันเข้าค่ายถึงที่สถาบัน ฉันหลงรักบรรยากาศที่นั่น พี่ๆดูแลดี ทุกคนจริงใจและเป็นกันเอง ง่ายๆ ติดดิน เมื่อกลับมาฉันจึงตัดสินใจเดินหน้าสมัครโควต้า แม้กระทั้งตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า วิศวกร คือนายช่างเดินดูไซต์งานก่อสร้าง (ไปค่ายมาก็ไม่ได้ช่วยอะไร และไม่ได้หาความรู้มาใส่ตัวเลยว่ามันคืออะไร)

ความซวยมาเยือนมาคุณครูแนะแนวส่งใบสมัครโควต้ามาให้และมันมีมากกว่า 10 ภาควิชาให้เลือก ฉันต้องเลือก 3 อันดับก่อนไปสัมภาษณ์ (ฉันไม่ต้องสอบ สัมภาษณ์อย่างเดียว)

ไล่ดูรายชื่อภาควิชาต่างๆด้วยความมึนงง คุณพ่อที่จบการตลาดกับคุณแม่ที่จบเพาะช่างต้องมาช่วยกันระดมความคิดในการเลือกครั้งนี้ ผลการคัดเลือกออกมาเป็นดังนี้

อันดับแรก ภาควิชาคอมพิวเตอร์ เพราะฉันชอบดูการ์ตูน animation และอยากลองทำบ้าง
อันดับที่สอง ภาควิชาอุตสาหกรรมอาหาร ไม่รู้แหละ มีคำว่า “ อาหาร” ก็ฉันชอบกินนี่หน่า
อันดับสุดท้าย ภาควิชาเกษตรกรรม เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการเกษตร ฉันต้องมีงานทำที่ท้องทุ่งสักแห่ง ไม่มีทางตกงานแน่นอน

ผลออกมาคือฉันสอบติดภาคคอม ได้ไปทำ animation สมใจ (หรือเปล่า จะรู้ใน post ถัดๆไป)

ข้อคิดที่ฉันได้จากการเลือกโดยไม่หาข้อมูล ทำการบ้าน คือ สุดท้ายแล้วไม่ได้เรียนในสิ่งที่คาดหวัง (เพราะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ไม่ได้จบออกมาเป็นหนึ่งในทีมงานสร้าง Toy story หรืออะไรพวกนั้น) อีกทั้งยังมีทุนอีกมากมายที่ฉันสามารถไปลองสอบเพื่อประหยัดเงินค่าเทอมไปโข แต่อย่างหนึ่งที่ฉันไม่เคยเสียใจคือการฟังสิ่งที่พ่อพูด แม้ว่าพ่อก็ไม่รู้ว่าวิศวะเค้าเรียนอะไรกัน แต่ ณ วันนี้ฉันมีงานที่ดีทำ หาเลี้ยงตัวเองได้และยังสามารถทำสิ่งฉันรักเป็นงานอดิเรกไปพร้อมๆกัน อะไรมันจะดีไปกว่านี้ล่ะ

พ่อแม่ อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว

ขอเล่าแล้วจากไปเพียงเท่านี้ post ถัดไปจะเป็นการเข้าสู่ชีวิตของสาววิศวะเต็มตัว โปรดติดตาม…

One comment

  1. ถ้าเรียนใช่ งานชอบ ก็คงดี

    แต่ส่วนมากเรียนเอาจบ งานก็ไม่ค่อยจะชอบด้วยสิ

    5555

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*