Post นี้ พวกเราจะไปเยือนอดีตสมรภูมิรบ แม้ปัจจุบันได้แปรเปลี่ยนมาเป็นอุทยานแห่งชาติ แต่กลิ่นหายแห่งการสู้รบอันดุเดือดระหว่างแนวคิดสองขั้วก็ยังไม่เลือนหายไป ภูหินร่องกล้า “ฐานที่มั่น” ของพรรค์คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) เพื่อต่อสู้กับฝ่ายความมั่นคง
หลังจากเมื่อวานนี้ไปทำกิจกรรมทรหดกันมา พวกเราก็พร้อมใจกันสลบไสลตั้งแต่ยังไม่ 3 ทุ่มดี วันนี้เลยตื่นแต่เช้าออกมาชมธรรมชาติรอบที่พักซักหน่อย
หลังนี้เลย บ้าน “ทิวเขา” ที่พักพิงของพวกเราในสองวันที่ผ่านมา
บรรยากาศแนวทิวสน เห็นแล้วสดชื่น คลายอาการเบื่อเมืองได้ดีนัก
ก็จะมีเสียแต่สำลีน้อยจอมงอแง ที่อยากซุกตัวอยู่ได้ผ้าห่มมากกว่า แต่ไปบังคับให้ตื่นมาเดินเล่นด้วย โดยอาศัยตอนงัวเงีย เอากาแฟอะเมซอนมาหลอกล่อ (อยู่ในเขาขนาดนี้มันจะมีไหม?) เดินดื้อตัวแข็งเลย แต่โดยสัญชาติญาณนางก็หยิบกล้องมานะ
ต้นสนที่ขึ้นอยู่เป็นสนสามใบ ตามความรู้ชีวะสมัย ม.ปลาย (อันน้อยนิด) ลูกสนจะมีอยู่ 2 ใบ ตัวเมืยกับตัวผู้ ตัวเมียจะใหญ่กว่า พอถึงฤดูผสมกลีบจะบานออกเพื่อรับเกสรจากตัวผู้ ส่วนคุณสำลีนั้น นางกำลังทึ่งกับความรู้ใหม่
เก็บวิวสวยๆมากฝาก
อันนี้จากกล้องเพื่อนที่สะลึมสะลือเดินตามออกมาทีหลัง (แต่ดันหากันไม่เจอ)
ไปฉกของมันมาอีกรูป สงสัยตอนถ่ายรูปนี้คงลงไปกลิ้งเป็นแน่แท้
เดินกลับมาบ้านพัก อาบน้ำ เก็บของ อำลาบ้านพักกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ วันนี้เราจะไปตามรอยสหายคนเดือนตุลากันที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ลานหินปุ่ม-ผาชูธง ต่อด้วยโรงเรียนการเมืองการทหารกัน แล้วค่อยเลยไปพักที่ภูทับเบิก (จริงๆในแผนมีลานหินแตก แต่ไม่ได้ไปเพราะลืม เลี้ยวไปอีกทางหนึ่งแล้ว ส่วนภูแผงม้าเห็นทางขึ้นแล้วยอมแพ้ เลยไปกันแค่นี้)
ถึงแล้วเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ลานหินปุ่ม – ผาชูธง ขับรถจากที่ทำการ อช. ภูหินร่องกล้ามาประมาณ 4 กิโลเมตร เท่านั้น มีบริเวณกว้างขวางให้รถจอด
มาดูแผนที่กันก่อนเน้อ จะได้เดินกันถูก
ระยะทางครบลูปประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้นตามสภาพร่างกาย เราจะเดินวนขวากัน เริ่มตั้งแต่สุสานนักรบ ลานหินปุ่ม ผาชูธง และวนกลับมาที่ลานจอดรถเนื่องจากสภาพผู้เดินทางแต่ละคนบอบช้ำกันเหลือเกิน
100 เมตรแรก ทางเดินระแนงไม้ปูลอยขึ้นเหนือพื้น เดินกันสบายๆ
มองหาไลเคนขึ้นประปรายได้ไม่ยาก
มีป้ายบอกทางชัดเจน ไม่ต้องกลัวหลง
เลยป้ายมานิด จะมีหินผาให้ปีนขึ้นไปถ่ายรูปกับธรรมชาติและฟ้างามๆ ลูกแก๊งของเรา ถึงจะเจ็บระบมกับการปีนน้ำตกเมื่อวาน ยังยอมปีนขึ้นไปเต๊ะท่าถ่ายรูป
เกือบสวย = =^
สถานที่แรก สุสานนักรบ เป็นหลุมศพของสหายนักรบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ที่เสียสละชีวิตกับการต่อสู้กับฝ่ายความมั่นคง ไม่ได้ถ่ายสถานที่มา ป๊อดมากเลยเดินออกมาก่อน
พ้นออกมาเป็นลานหินกว้างๆ เดินสบายๆ ขโยกขเยกกันมาได้เรื่อยๆ
ผาหินกบ เหมือนกบหรือเปล่าเอ่ย ต่างยืนดูด้วยความสนอกสนใจ
ผาหัวใจหิน เบี้ยวไปนิดนึง
ผานาคราช ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้ชื่อนี้
เดินผ่านผาต่างๆไปไม่นานนัก ภูมิประเทศก็เริ่มเปลี่ยนเป็นลานหินที่มีร่องลึก(มาก) มีสะพานทอดให้ข้ามผ่านเป็นระยะ
เดินไปไม่ไกลจากจุดๆนี้ จะเจอลานหินปุ่มแล้ว
ลานหินปุ่ม ตั้งอยู่ริมหน้าผา ลักษณะเป็นลานหินขึ้นเป็นปุ่มขนาดไล่เลี่ยกันจำนวนมาก คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน และเป็นสิ่งที่บอกว่า ในหลายล้านปีก่อน ดินแดนแถบนี้เคยอยู่ในทะเลลึกมาก่อนที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแผ่นดินที่ราบสูงอย่างปัจจุบันนี้ ในอดีต พคท. ใช้บริเวณนี้เป็นที่พักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาล เนื่องจากอยู่บนหน้าผา มีลมพัดเย็นสบาย
พยายามเนียนทำเป็นปีนหน้าผา แหม่
ดูอะไรกันอ่ะ -.-^
ลันล้ากันอยู่ไม่กี่อึดใจก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ เจอดงเฟิร์นยักษ์ เหมือนฉากใน Jurassic Park
เนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนก่อน เลยมีอุปสรรคให้ข้ามผ่านมากมาย เจ็บกล้ามเนื้อนะนั่น เจอต้นไม้ขวางทีเหงือตกกันเลย
แก๊งรีดไถ่เงินแห่งภูหินร่องกล้าใช่หรือไม่
เห็นธงอยู่ลิบๆแล้ว
เดินอีกไม่ไกลก็ถึง ผาชูธง
ผาชูธง มีสภาพเป็นหน้าผาสูงชัน ที่สามารถมองเห็นวิวทัศนียภาพได้อย่างสวยงาม และยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในอุทยาน ในอดีต พคท. เคยใช้เป็นที่ชูธงแดงรูปฆ้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายความมั่นคง ปัจจุบันเลยใช้เป็นธงชาติไทยเอาไว้เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
สูงมว๊าก ลมก็ดี๊ดี เล่นขอนั่งแหมะกินลมชมวิวอยู่ตรงนั้นซะเลย
เก็บวิวมาได้คนละนิดคนละหน่อย
นั่งเล่นกันได้สักพักเริ่มรู้สึกร้อน เพราะเกือบจะเที่ยงแล้ว เลยได้เวลาเดินกลับ ออกเดินทางไปยังที่หมายถัดไป ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
โรงเรียนการเมืองการทหาร ที่ซึ่งในอดีตใช้เป็นที่อบรมทั้งวิชาบุ๋นและบู๊ของ พคท.
หากอ่านข้อมูลจากสถานที่ท่องเที่ยวและแผ่นพับซึ่งจัดทำโดยรัฐบาล (ฝ่ายความมั่นคง) แล้วกลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่เขียนจากฝ่าย พคท. จะพบว่ามีความแตกต่างกันส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เรียนรู้อย่างหนึ่งคือ ผู้เขียนประวัติศาสตร์ย่อมเข้าข้างตัวเอง มีการอ้างอิงว่า บ้านบางหลังที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นของจีน ก็ถูกสร้างขึ้นมาทีหลังโดยรัฐบาล เพื่อโน้มน้าวให้คนรุ่นหลังเชื่อว่า พคท. ได้รับอิทธิพลแนวคิดคอมมิวนิสต์มาจากจีน จริงเท็จอย่างไรนั้น ฉันก็ไม่สามารถบอกได้
บริเวณดงต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกลุ่มาของหินก้อนใหญ่นี้ ถูกใช้เป็นที่หลบภัยยามฝ่ายความมั่นคงทิ้งระเบิดมาที่ฐานที่ตั้งมั่นแห่งนี้
รถแทรคเตอร์ที่ พคท. ยึดมาเนื่องจากมันถูกใช้เป็นเครื่องตัดถนนมาที่ฐานทัพของพวกเขา
เสร็จจากการชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ก็ได้เวลาเคลื่อนฐานทัพต่อ วันนี้เราจะไปพักกันที่ภูทับเบิก รอดูทะเลหมอกในเช้าวันถัดไป
จากเดิมที่ตั้งใจจะนอนเต็นท์กันที่บริเวณใกล้ๆกับหอดูดาวและจุดวัดอุณหภูมิภูทับเบิก แต่อากาศปลายฝนต้นหนาวนี่มันหนาวบาดจิตเหลือเกิน พวกเราไม่ได้เตรียมตัวมาหนาวเลยไม่ไหว (หมายถึงมาแบบเสื้อกันหนาวคนละตัว กางเกงขายาวแทบไม่มีหรือเลอะโคลนหมดแล้ว) ตัดสินใจเช่าบ้านพักกัน
ได้หลังน้อยน่ารักริมขวานี้มา มีห้องน้ำในตัว สิริรวมคืนละ 2,200 บาท นอนได้ 4 คน ณ ไร่ภูทะเลหมอกทับเบิก
นอนพักเอาแรงกันเล็กน้อย ก็ลองขับรถไปหากาแฟกินกับชมวิวภูทับเบิกใกล้ๆ
นั่งไง ว่าแล้วว่าทำไมคุ้นๆ ทางนี้เราเพิ่งผ่านมาเมื่อวานตอนที่กลับจากน้ำตกหมันแดง เป็นจุดชมวิวที่แวะถ่ายรูปกันระหว่างทางนี้เอง
สั่งเครื่องดื่มร้อนๆมากินคลายหนาว
เด็กน้อยชาวเขาน่ารัก แต่กลัวคน ไปถ่ายรูปมาแชะเดียวร้องไห้จ้า ล่าถอยแทบไม่ทัน
วิวแถวนั้น ฝนกำลังมา
นั่งชมวิวกินลมเพลินๆ จะสวยกว่านี้ถ้าข้างหลังไม่ได้กำลังก่อสร้างอยู่ TT
กลับมาถึงที่พักก็มืดเชียวแถมหมอกลงจัด
วิวจากระเบียงห้องพัก แหล่ม
แต่ช่างภาพของเราก็ไม่หวั่น แบกอุปกรณ์ไปถ่ายภาพกลางหมอกและความหนาวเย็นกัน
พระจันทร์สว่างเชียว ถ้ามาคนเดียว บรรยากาศแบบนี้คงเหงาน่าดู
วิวเมื่อมองลงไปข้างล่าง คุณสำลียืนถ่ายอยู่นาน
ลานกางเต๊นท์ ที่หมายเดิมของพวกเรา มันคงหน๊าวหนาวน่าดู
กันฟันปีนปายกันมาถึงหอดูดาวและจุดวัดอุณหภูมิ
หมอกเยอะจนไม่เห็นดาว เอาไฟไปก่อน
ไม่มีดาวก็ถ่ายพระจันทร์แทน
เริ่มหิว ไปฝากท้องที่เดิมกับมื้อกลางวัน ร้านนี้อร่อยมว๊าก แนะนำ
จบวันด้วยไอหมอกและความอิ่มท้อง กลับไปนอนเอาแรงเตรียมตื่นมาดูทะเลหมอกพรุ่งนี้เช้า 😛