หลังจากเมื่อวานอุ่นเครื่องด้วยการไปล่องแก่งกันแล้ว วันนี้ก็ถึงคราวไปผจญภัยขั้น MAX ตามหาน้ำตกในตำนาน น้ำตกหมันแดง
น้ำตกหมันแดงอยู่ห่างจากบ้านพัก อช. ภูหินร่องกล้าไปทางภูทับเบิกอีกประมาณ 20 กิโลเมตร สามารถเข้าได้ 2 ทางคือทางหน่วยพิทักษ์อุทยานน้ำตกหมันแดง (ทางเก่า ลำบากกว่า) กับทางน้ำตกหมันขาว (อันนี้จะต้องนั่งรถจากหน่วยพิทักษ์อุทยานน้ำตกหมันแดง ข้ามเขาหลายลูกไปอีกประมาณ 40 กิโล) เนื่องจากฉันเชื่อในศักยภาพของวัยรุ่น ครั้งนี้ กลุ่มของพวกเราเลือกที่จะเข้าทางหมันแดง (overestimate กันสุดๆ)
การเดินน้ำตกหมันแดงจะต้องไปให้ถึงหน่วยไม่เกิน 8 โมงเช้า ใช้เวลาเดินป่าทั้งสิ้นประมาณ 6-8 ชั่วโมง คืออยู่ในป่าทั้งวัน ดังนั้นต้องพกอาหารและน้ำติดตัวไปด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเจ้าหน้าที่นำทาง เพราะขอบอกได้เลยว่า ถ้าดุ่มๆเข้าไปกันเองหลงแน่นอน เพราะทางเดินป่าเหมือนไม่ใช่ทาง (ทางเข้ายังหาไม่เจอเลยมั้ง) ดังนั้นจึงต้องติดต่อล่วงหน้าไปก่อน โดยโทรมาที่ อช. ภูหินร่องกล้า แล้วเจ้าหน้าจะใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับทางหน่วยให้ (ที่หน่วยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์) กลุ่มเราติดต่อล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์ มาถึงก็มาย้ำอีก 2 รอบ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าวิทยุไปไม่มีใครรับ เงิบ แต่เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยเป็นลุย
พวกเราตื่นมาเตรียมตัวกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ฟ้ายังไม่สว่างดีเลย
ถ่ายบ้านพักตรงข้าม เมื่อคืนยังไม่มีคนมาพักทำให้บริเวณนี้เงียบสุดๆ
มาฝากท้องที่ร้านดวงใจเช่นเดิม พร้อมกับซื้อข้าวกลางวันเตรียมไปด้วย พอแม่ค้ารู้ว่าไปไหนเท่านั้นแหละ โอโห้วววววววววววว กันเสียงดัง สามีแม่ค้าบอกว่าให้เอาทากมาฝาก 1 ขวดกระทิงแดง พวกเราก็ขำๆ แหม ถ้ามันจะเยอะขนาดน้านนนน (ยังไม่รู้ตัว)
ถ่ายรูปเล่นระหว่างรอกับข้าว คุณสำลีกลมกลืนกับธรรมชาติจริงๆ
เติมพลังกันเสร็จก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกหมันแดงกันเลย
ตอนแรกๆก็สดใส แต่ขับไปไม่นานหมอกมาตรึม สภาพอากาศแบบนี้ต้องขับรถแบบระวังมากๆ
ตอนแรกก็หาหน่วยกันไม่เจอ เพราะหมอกลงหนามาก พอดีคุณสำลีเหลือบไปเห็นเสาธงหน้าหน่วยเข้า
เจอหน่วยแล้ว เป็นอาคารเล็กๆ เล็กมาก ห้องน้ำข้างๆหน่วยยังใหญ่กว่า
เดินตามหาเจ้าหน้าที่ ไปเจอไก่กับลูกเจี๊บบเป็นฝูง น่ารักชะมัด
นอกจากไก่แล้วยังมีแมวด้วย เชื่องมาก เหมือน Pusheen เลย
ฝนเริ่มเทลงมา พวกเราตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่อยู่สักพัก กำลังจะถอดใจ เจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูโผล่หน้าออกมา ดูพี่แกงัวเงียมาก ประมาณอากาศดีๆ มีสายฝนพร่ำๆ พวกเอ็งมาทำม้ายยยยย กำลังนอนเพลินๆ (ตรูว่าแล้วว่าทำไมที่ อช. วิทยุไปไม่มีใครรับ) พี่เค้าก็เตือนว่าเมื่อคืนฝนตกนะ ตอนนี้ก็ตกด้วย มันจะลื่นนิดหน่อย ไอเราก็ตั้งใจมาขนาดนี้ แถมคิดว่า “นิดหน่อย” จริงๆเลยยืนยันว่าจะไป พี่เจ้าหน้าที่เลยขอตัวไปเตรียมตัว
ระหว่างรอพี่เจ้าหน้าที่อาบน้ำ พวกเราก็จัดการประโคมเครื่องป้องกันทาก ทากที่นี่ ไม่ใช่ทากธรรมดาแต่เป็น ทากตอง จะเกาะอยู่บนใบไม้และกระโดดใส่เราแบบไม่รู้ต้ว สิ่งที่ต้องมี ย้ำ ต้องมี!!! ไม่งั้นอาจเสียเลือดเยอะ คือ 1) ถุงกันทาก ให้เลือกถุงกันทากที่สามารถมองเห็นตัวทากได้ง่ายๆ (ห้ามใช้สีดำ สีเข้ม ลายพราง) 2) สเปรย์กันทากหรือซอฟท์เฟลก็ได้ (เอาแบบสเปรย์ จะได้ฉีดง่าย) เวลาทากมาเกาะ ส่วนใหญ่มันจะเริ่มไต่ตั้งแต่รองเท้าก่อน แล้วกระดึ๊บสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ต้องหมั่นสังเกตก่อนมันกระดึ๊บพ้นถุงกันทาก ฉีกสเปร์ยให้มันอ่อนปวกเปียก (ไม่งั้นจะดูดดิดหนึบ ไม่หลุดง่ายๆ) แล้วเอาไม้ (พอเริ่มชินจะเป็นมือ) เขี่ยหรือดีดเอาไป ใครใส่รองเท้ากีฬาที่มีรูๆ ทากจะมาติดพันอยู่ตามรูอย่างเยอะ ไม่ต้องเขี่ย ปล่อยมันไป เสียเวลา (อันนี้ต้องในกรณีมีถุงกันทากนะ ไม่งั้นถอดรองเท้าออกมาได้หลายรูแน่) สิ่งของเหล่านี้หาเตรียมมาจากกรุงเทพฯเลย ไม่มีขายแถวน้ำตกหรือใน อช. แน่นอน
เทรนใหม่ จัดมาสีฟ้าแปร๊ด สังเกตว่ามันจะหุ้มถึงปลายเท้าเลยทีเดียว
ในกรณีที่โดนทากดูด ห้ามดึงออกเลย เพราะทากจะปล่อยสารชนิดหนึ่งออกมาไม่ให้เลือดแข็งตัว เลือดจะไหลไม่หยุด ต้องเอาสเปรย์กันทากหรือกันยุงที่พกไว้ฉีดก่อน แล้วค่อยเขียออก
ในการเดินน้ำตกหมันแดง ขอสรุปอุปกรณ์จำเป็นและสิ่งที่ต้องมีติดตัวไปดังนี้
- เสื้อผ้า รัดกุม ใส่สบาย ไม่อุ้มน้ำ กันฝนได้ยิ่งดี ใส่ขาสั้นได้ ทากถุงกันทากคุณยาวพอ
- รองเท้ายางแบบเดินป่าหรือรองเท้ากีฬาที่ไม่เก่าจนเกินไป หากเก่า ยางเสื่อม เดินๆไปอาจหลุดทั้งส้น (เหมือนฉัน) ได้
- ถุงเท้ากันทาก สเปร์ยกันทากหรือกันยุง (ต้องซื้อมาจากกรุงเทพ)
- เสบียงอาหารกลางวัน และขนมหรือ energy bar (โดยข้าวกล่องสามารถซื้อที่ อช ตอนกินข้าวเช้าได้และกินเสร็จต้องเก็บขยะกลับมาด้วย)
- น้ำดื่ม
- ถุงพลาสติกหรือถุงกันน้ำ (คลุมกล้อง, กระเป๋า, สิ่งสำคัญต่างๆ)
- กล้องและขาตั้งกล้อง (กระเป๋ากล้องควรใช้แบบสะพายหลังจะช่วยให้สภาพการเดินทางคล่องตัวมากขึ้น)
- มือถือ (ไม่ได้เอาไว้โทร แต่เอาไว้ถ่ายรูปนี่แหละ ด้วยสภาพทางเดินที่หินและโหดเหลือเกิน กว่าจะควักกล้องออกมาถ่ายได้มันช่างยากลำบากนัก ก็ใช้กล้องมือถือเก็บภาพซะเลย)
- ปลอกแขน (ในกรณีไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาว เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะโดนใบไม้ต้นไม้เกี่ยว บางต้นมีฤทธิ์ทำให้แสบคัน)
- หมวก (ช่วยได้เยอะตอนฝนตก ไม่งั้นฝนเข้าหูเข้าตาโหม้ดดดด)
- ร่างกายต้องสมบูรณ์ (ขอเน้นย้ำข้อนี้เพราะถ้าเป็นตะคริวหรือเดินเข้าป่าไปแล้วไม่ไหว กว่าจะออกมาไม่ใช่ง่ายๆ)
*ลิสต์ดังกล่าวคัดลอกจาก http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/08/E8223489/E8223489.html และนำมาเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วนที่ได้เผชิญมาจริง
และแล้วก็เริ่มออกเดิน ฝนตกค่อนข้างหนัก เริ่มใจเสีย แต่เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ลองไม่รู้
อันนี้ทางเข้า แวะมาถ่ายอีกวัน กว่าจะหาเจอนานมาก ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่นำมาไม่ต้องพูดถึง
ช่วง 3 กิโลแรกที่เดินเป็นทางราบ แม้จะมีบางทีที่ต้องยืนรอเจ้าหน้าที่ถางป่าไปให้ (คิดในใจ รีวิวที่ไปอ่านมาเค้าเข้ามาเอง ทำได้ไงอ่ะ ทางไม่ชัดอย่างแรง บางทียังสับสนว่าไปทางนี้แน่หรอ) ขนาดฝนตกยังชิวมาก แทบจะเดินไปร้องเพลงไป แค่มีแมลงมาตอมหัวดังหึ่งๆ ต้องหมั่นฉีดสเปร์ยไล่ ทากก็ไม่มี ชีวิตสงบสุขต่างคนต่างคิดในใจ หึ นี่หรอที่ในรีวิวบอกว่าหนัก โถ่ กระจอก
ผ่านทางราบ เริ่มเป็นทางลง (แล้วจะไม่มีทางราบเป็นต้นไป ณ บัดนี้ T^T) พี่เจ้าหน้าที่บอก ลงแป๊บเดียวก็ถึง ชะเง้อหน้าลงไป เหวอออ ทำไมมันชันงี้ จะตั้งฉากอยู่แล้ว นี่มาเดินป่าหรือปินเขา ถึงว่า เวลาอ่านรีวิวหาข้อมูล ไม่เคยเห็นภาพตอนเดินไปหาน้ำตกเลย มีแต่คำกล่าวลอยๆไร้หลักฐานว่ายาก ลำบาก ทรหด เพราะขนาดตัวเองยังจะไม่รอด นับประสาอะไรให้ควักกล้องขึ้นมาถ่าย ของพวกเราฝนตกตั้งแต่เมื่อวาน ดินก็แชะลื่นมากพออยู่แล้ว ขนาดเดินฝนก็ตกไม่หยุด แทบจะเล่นสกีลงมาเลย อย่างน้อยต้องมีล้มคนละตุ๊บสองตุ๊บ ฉันทำสถิติสูงสุด ล้มไป 6 ตุ๊บ ผ่านมาแล้วทุกแบบ ตั้งแต่ล้มขาคู่แบบเอาก้นลง ขาคู่แบบเอาเข่าลง แหกขาไปคนละทางยังมี ล้มแล้วถไลแถ่ดๆๆๆ เป็นสไลเดอร์ลงมาเลยก็เคยทำมาแล้ว = =^
ช่วงที่ความชันไม่มากพอควักมือถือมาถ่ายได้
สภาพดินตลอดการเดินทาง นุ่มละมุนเชียว
ระหว่างเดินลงพวกเราก็คอยถามพี่เจ้าหน้าที่ (ที่ว๊าร์ปเก่งมาก ตะกี้ยังตัดไม้ ช่วยเอาทากเอาให้อยู่ เผลอแป๊บๆไปอยู่ข้างหน้าซะไกล เหมือนดินโคลน ห่าฝน ความชันทำอะไรพี่แกไม่ได้เลย) ว่าใกล้ยัง พี่เค้าก็ชอบตอบให้กำลังใจว่าใกล้แล้ว แต่หลังๆเริ่มจับได้ ใกล้ๆนี่ต้องปีนอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
โฉมหน้าผู้นำทางของเรา ต้องขอบคุณพี่ที่อดทนกับก๊วนเงอะงะก๊วนนี้จริงๆ
ป่ารอบๆน้ำตกเป็นป่ากล้วย ต้นไม้ที่จะพบมากที่สุดคือต้นกล้วย ซึ่งยึดจับลำบากมาก บางทีก็ลื่นเหนื่ยวล้มลงมาทั้งต้น ก้นกระแทกอี้ก ข้อเสียอีกอย่างคือ ทาก เยอะ มาก ไม่รู้ทำไม ยิ่งฝนตกดินชื้นยิ่งเยอะ พอเข้าสู่เขตน้ำตก (ทางชันเป็นต้นไป) อ๊าก เดินอย่างเดียวก็ลำบากอยู่แล้ว ต้องคอยระวังทากอีก ตอนถูกทากเกาะครั้งแรกนี่แหกแปกลั่นป่า พี่เจ้าหน้าทีขำไม่หยุด เค้าจะเอาออกให้ก็ไม่ยอมให้เอาออก กลัวเลือดพุ่ง พี่เค้าบอกยังไม่ทันดูดเล้ยยย เลยหยุดกรี๊ดได้
สรุปว่าไม่มีใครถ่ายทากมาเลย มัวแต่กรี๊ด สเปรย์ สะบัด ลื่น ลื่นทีที่ห่วงไม่ใช่กระดูกตูด ต้องเช็คว่ามีทากเกาะหรือเปล่าเป็นอันดับแรก เลยต้องขอยืมภาพชาวบ้านมาโชว์ เครดิตตามภาพเลยค่ะ มาทีอย่างเยอะ กำจัดกันไม่ทัน
ปีนป่ายลงมาตามทางชันด้วยความยากลำบากอีกชั่วโมงกว่า ก็ถึงจนได้ น้ำตกหมันแดงชั้น 1 ฝนเริ่มหยุดพอดี ดีใจมว๊ากกกก
ช่างกล้องเริ่มแกะกล้องออกมาจากถุงพลาสติก และแยกย้ายกันไปหามุม คนไม่มีกล้องก็ขอนั่งชมน้ำตกให้สมกับที่เหนื่อยมา
ขโมยภาพจากกล้องเทพมาแล้ว น้ำตกหมันแดงชั้นที่ 1 น้ำนุ่มชะมัด
อีกมุม
ลักษณะการเดินจะเดินลงไปเรื่อยๆ ชั้นที่ 1 คือต้นน้ำ เป็นชั้นบนสุด ไล่ไปชั้น 2, 3, 4 จนถึงชั้นที่ 9 ปกติเจ้าหน้าที่จะพาลงไปถึงชั้นที่ 7 เท่านั้นแล้วปีนกลับทางเดิม เพราะชั้น 8 และ ชั้น 9 ทากชุกชุม ไม่เหมาะกับการเดิน
ถ่ายรูปกันจนพอใจ ก็ได้เวลาไป (ลำบาก) ต่อ
ชั้น 2 – 4 ไม่สามารถเลาะเข้าไปตั้งกล้องถ่ายได้ แต่เอาภาพจากล้องมือถือมาฝากกัน (ขออภัยในความกาก แต่พลังการ process รูปกับ skills มันผิดกันกับภาพที่ฉกมากจากตากล้องทั้งหลาย T^T)
ชั้นที่ 3 ออกมาแบบกระปิ๊ดๆ
ชั้นที่ 4 ต้องแหวกพงไม้ถ่ายเอา
ขอตัดไปดูความลำบากของช่างภาพ ที่ต้องแบกทั้งกล้องและขาตั้งเข้าป่า แต่เพื่อรูปสวยๆ สู้โว้ยยยย
มาถึงชั้นไฮไลท์ ชั้นที่ 5 พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า จะมีดอกลิ้นมังกรที่หาดูได้ยากมากอยู่ด้วย พวกเราเลยตัดสินใจกินข้าวที่นี่กันเลย จะได้ดื่มด่ำความงาม แต่เนื่องจากชั้นน้ำตกสูงมาก น้ำเลยแรงมาก ละอองฟุ้งไปหมด (ฟุ้งที่สุดจากทุกชั้น ดังนั้นแนะนำให้หิ้วท้องรอกินชั้นถัดๆไป) สังเกตจากหยดน้้ำที่เกาะถุงข้าวได้ เผื่อใครมองไม่ออก มันคือข้าวหมูทอดไข่ดาวนะจ๊ะ
นั่งกินชิวเลยนะคุณเพื่อนนนนนน
กินเสร็จแล้วอย่าลืมเก็บขยะให้เรียบร้อยนะคะ ช่วยกันรักษาป่าเขาให้อยู่กับเรานานๆ
ช่างกล้องเริ่มตั้งกล้องชักภาพน้ำตกชั้นไฮไลท์กันอย่างตั้งใจ ส่วนไอคนกลางยังคุ้ยหาขนมต่อไป
ถ้าสังเกตสีน้ำ จะเห็นว่าค่อนข้างแดง อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตก เริ่มแรกชาวบ้านเรียกว่ามันแดง กลายเป็นหมันแดงซะงั้น
ส่วนฉัน ขอเป็นนางแบบแล้วกันนะ ละอองน้ำเต็มเลนส์เลย
ส่วนดอกลิ้นมังกร เจ้าหน้าทีบอกมันหมดไปตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วไอน้อง แง ไม่ย้อมมมมมมมมมม
ด้วยความที่รองเท้าเก่ามาก (ุ6 ปี ไม่ยอมเอาของใหม่มา กลัวเลอะ) กาวไม่ค่อยดี สังเกตเท้าข้างขวาส้นหายไปแล้ว ข้างซ้ายก็พะเงิบ อีกนิดเดียวจะกลายเป็นรองเท้าบัลเล่ต์อย่างสมบูรณ์
ส่วนคุณเพื่อน พอหาขนมกินเสร็จแล้วก็มานวดเคาร์เตอร์เพนต่อ เกร็งจนตะคริวกิน ระหว่างนั้นก็ปรึกษาพี่เจ้าหน้าที่ว่ามีทางอื่นไหมที่จะไม่ต้องกลับไป เพราะสภาพแต่ละคนตอนนี้ดูไม่จืด ทางลื่นมากถึงขนาดว่าต่อให้ระวังยังไง ก็ได้ไถลแน่ๆ ยิ่งฉันจากรองเท้ากีฬาเหลือเป็นรองเท้าบัลเล่ต์ ต่อให้จิกเท้ายังไงก็ยึดไม่ไหว บางก้าว รู้เลยว่าอีกประเดี๋ยวต้องได้ลงไปนั่งแช่โคลนแน่ๆ เลยตกลงกันว่า พวกเราจะเดินลงไปเรื่อยๆถึงชั้น 9 แล้วออกอีกทาง (น้ำตกหมันขาว) ซึ่งเป็นเขาอีกลูก แล้วค่อยจ้างรถไปส่งที่เดิม
แม้แต่ละคนจะระบม ลื่นล้ม และเละแค่ไหน แต่คุณสำลีเป็นคนเดียวที่ไม่มีกรี๊ด ไม่มีล้ม อย่างมากก็อุทานเบาๆ หล่อเท่มาได้ตลอด นางสามารถเดินถือกล้องและขาตั้งกล้องได้ ทั้งๆที่อิคนที่เหลือแทบจะกลิ้งลงเขากันแล้ว สังเกตว่าก้นไม่มีเลอะ
จากชั้น 5 ไปชั้น 6 ต้องเดินฝ่าน้ำตกไปกันเลยทีเดียว แบบลื่นนิดเดียวไปเจอกันปลายน้ำแน่ๆ (มือสั่น ตื่นเต้น ลุ้นแทนเพื่อน)
มาถึงชั้น 6 เป็นชั้นที่มีหินให้นั่งเยอะ และละอองน้ำค่อนข้างน้อยเพราะเป็นชั้นเตี้ยๆ จนอดนึกเสียดายว่าทำไมไม่เก็บข้าวมานั่งกินชิวๆที่ชั้นนี้ ชั้น 5 นี่กินไปพลาง ปาดน้ำไปพลาง
ส่วนคุณเพื่อนยังตะคริวกินต่อเนื่อง ต้องพึ่งเคาน์เตอร์เพนท์ต่อปายย น่าสงสารมาก
ไม้ไผ่ที่พี่เจ้าหน้าที่ตัดให้ ช่วยชีวิตไว้จริงๆ
พี่เจ้าหน้าที่: นี่คือทางที่พวกเจ้าต้องเดินต่อไปข้างหน้า
ก๊วนเง๊อะง๊ะ: แว๊กกกกกก เดินบนน้ำตกเนี่ยนะ
เดินเสียวๆมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอชั้น 7 ตากล้องได้โอกาสควักกล้องมาถ่าย เลยได้ยลรูปสวยๆกัน
เอาไปอีกรูป
เบื้องหลังการถ่ายทำ
คุณสำลี จากที่ไม่เคยล้มเลย ดันมาตกมาตายลื่นล้มเพราะหินที่ชั้นนี้ (คนอื่นลื่นเพราะดินกัน) ด้วยความที่มือถือกล้องและขาตั้งอยู่จึงทำให้ก้นรับไปเต็มๆ เจ็บแทน
สถานที่เกินเหตุ หินก้อนนี้เลย
เดินไปชั้น 8 กันต่อ ช่วงชั้น 8-9 ทางเดินหวาดเสียวมาก ถึงขนาดต้องปีนรากไม้เดินกัน แบบตกลงไปคงไม่รอด กลัวจริงๆ ณ จุดๆนั้น รู้เลยว่าทำไมปกติเจ้าหน้าที่ถึงไม่ค่อยพามา
น้ำตกชั้น 8 ก็แหวกพุ่มไม้ดู
ชั้น 9 ชั้นสุดท้าย
เสร็จจากชั้นนี้ ปีนขึ้นอีกนิด (จริงๆไม่นิดแต่พี่เจ้าหน้าที่บอกนิดเดียว) จะเป็นทางราบแล้ว แต่ยังคงความลื่นเละไว้อย่างเหนี่ยวแน่น จะเป็นอย่างไรนั้นไปชมกัน
ออกจากป่ามาได้ก็เป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงพอดี เข้าไปตั้งแต่ 8 โมงนิดๆ นี่ขนาดไม่กลับทางเดิมนะ ถ้ากลับทางเดิมคงออกมา 3 ทุ่ม เห็นหมู่บ้านแล้วค่อยใจชื้นหน่อย มะหมาน่าร้ากมาก
เจอเก้าอี้นี่นั่งแทบไม่ทัน
หลังจากคุยกับชาวบ้าน พบว่าเจ้าของรถเพิ่งออกไปตัดเผือก กว่าจะกลับมาอีกนาน เงิบเลย
แต่ยังดีที่พี่เจ้าหน้าที่เค้ากว้างขวางมาก พาพวกเราเดินขึ้นเนินไปหารถกลับ
ตอนนี้ได้รถกลับหรือเปล่าไม่รู้ แต่แข้งขาพังกันหมดแล้ว
เจอรถจนได้ ขอบคุณสวรรค์
จากภาพนี้ รู้เลยว่าชีวิตผ่านความลำบากมาแบบสุดๆ
สภาพแต่ละคนตอนได้หาพิกัดของตัวเองได้แล้วในรถ
ทางไปก็ไม่ใช่ว่าสบาย เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทางต้องขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้นถึงจะเอาอยู่ แต่จะให้ขับมาเองแล้วมาขึ้นน้ำตกจากตรงนี้ก็คงไม่ไหว เพราะต้องขับมาตั้ง 40 กว่ากี่โล อ้อมภูเขามาประมาณ 8 ลูก
แต่ว่าวิวสวยชะมัด
แถมลมดีสุดๆ
อยากได้ฟ้าใสกว่านี้
คุณเพื่อนเริ่มซ่า สามารถยืนถ่ายรูปเล่นได้แล้ว มันจะเอาไร่ข้าวโพด ไอบ้า ถ่ายโคตรยาก จะตกรถเอา เอาดงป่าไปก่อนแล้วกันนะ
คุณสำลีเล่นมิวสิควีดีโอหรือไง (ปล สภาพก้นแต่ละคนแทบดูไม่ได้ ขนาดล้างที่น้ำตกมาแล้วนะเนี่ย)
ถึงครึ่งทาง พี่คนขับรถก็แสนใจดี เห็นวิวสวยๆก็จอดให้แวะถ่ายรูป
ถึงจะเมื่อยแค่ไหน สัญชาติญานความเป็นตากล้องก็ทำให้สามารถกะโผลกกะเผลกลงมาได้
เลยได้ภาพน่ารักๆใบนี้มา ขอบใจหลายเด้อ
เจอเด็กชาวเขา ซนสุดๆ เห็นหน้าก็รู้ว่าแสบมากกก
พี่เค้าขับมาส่งที่หน่วยพิทักษ์หมันแดงที่พวกเราทิ้งรถไว้ตอนเช้า คิดค่ารถ 1,000 บาท ตอนบอกยังเกรงใจ จริงๆ 2,000 ก็ยอมอ่ะ ณ จุดๆนั้น หารถกลับไม่ได้นี่ยุ่งเลย ประกอบกับระยะทางไม่ใช่น้อยๆ สภาพทางก็เละมาก ทั้งวิวที่ได้ระหว่างทางอีก ถึงว่าคุ้มมากจริงๆ ส่วนพี่เจ้าหน้าที่ก็ให้สิ้นน้ำใจไป 500 บาท รวมทั้งวันนี้ 4 คน 1,500 บาท ถูกกว่าเมื่อวานอีก
เรื่องทากยังไม่จบ ตอนถอดรองเท้าทากนี่ออกมาดิ้นกระแด่วเลย คุณเพื่อนเล่าให้ฟังว่าโดนทากกัดก้นด้วย เพราะรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆที่ก้นตอนเดินป่า ตอนอาบน้ำมันถึงได้ไหลออกมา สันนิษฐานว่าคงเป็นลมตายตั้งแต่เจอกลิ่นพิฆาตแล้ว
post หน้าจะไปเที่ยวสบายๆหลังจากทรหดกันมาหลายวัน อย่าลืมติดตาม