การลาออกครั้งแรก

ขอตั้งชื่อสวนกระแสเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่เคยคิดจะลาออกจากการเป็นลูกจ้างและยังคงรื่นเริงกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ วันนี้จึงอยากบันทึกประสบการณ์การลาออก ‘ครั้งแรก’ หลังจากกลั่นกรองตกผลึกกับตัวเองมาซักพัก

ไม่เคยมีความคิดจะย้ายงานอัพเงินอะไรมาก่อนเพราะอัตราการขึ้นเงินเดือนของที่เก่าค่อนข้างเยอะ ตั้งใจว่าจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปเรียนต่อปริญญาโทแล้วค่อยว่ากัน ประกอบกับ career path ค่อนข้างชัด มีโอกาสเติบโตสูงเลยไม่ได้คิดอยากย้ายไปไหน

ถ้ามันดีจริงทำไมถึงลาออก?

 

เรื่องมันเริ่มตอนพ่อป่วยหนัก นอนอยู่โรงพยาบาลแถวบ้าน ส่วนตัวฉันทำงานและเช่าหออยู่ในเมือง งาน consult หนักเป็นธรรมดา อันนี้เรารู้กันดี ทำให้ฉันมีเวลาไปเฝ้าพ่อน้อย ตกเฉลี่ย 1-2 ครั้งระหว่างอาทิตย์ แม้ว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไปอยู่เต็มวัน แต่เทียบกับแม่และน้องชายที่อยู่แทบ 24×7 โดยเฉพาะน้องชายที่ใกล้เข้ามหาลัย ต้องอ่านหนังสือสอบแอดมิดชั่น ก็ถือว่าตัวฉันเองเห็นแก่ตัวมาก นี่คือความผิดกระทงแรก…

มันคือความผิดและความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ถ้ามีไทม์แมชชีนจริงๆ จะย้อนเวลากลับไปลางานยาว และอยู่กับพ่อให้ได้มากที่สุดจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน

พอพ่อเสียได้ไม่ถึงเดือน ฉันดันลางานสองเดือนไปโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศที่ได้รับคัดเลือกตั้งแต่พ่อยังไม่ทรุด ปัญหาอยู่ที่ ทำไมตอนนี้ดันลาได้? แล้วแม่ที่เสียใจจนต้องไปหาจิตแพทย์ ใครดู? คำตอบคือน้องชายที่เพิ่งสอบเข้ามหาลัยแถวบ้านได้ และอยู่ในระหว่างปิดเทอมรอเรียน โครงการในฝันของนักล่าทุนทุกคน สำหรับฉัน มันคือความทรมานที่ต้องถามตัวเองซ้ำๆทุกวันว่า ตัวฉัน…มาทำอะไรที่นี่?

พอกลับมาทำงานก็กลับเข้าสู่ลูปเดิม คืออยู่หอในเมืองวันจันทร์ถึงศุกร์ ทำงานหนัก เหนื่อย เสาร์อาทิตย์กลับมาบ้านก็อยากนอนอยากพัก แต่พอเจอหน้าแม่ก็โดนบ่น ตัดพ้อต่อว่านู่นนี่ พูดถึงตอนดูแลพ่อตอกย้ำให้รู้สึกผิด กลายเป็นว่าวันเสาร์อาทิตย์ไม่ใช่วันที่ฉันตั้งตารออีกต่อไป เป็นวันที่ต้องกินยาแก้ปวดหัวอย่างน้อยสี่เม็ดทุกครั้งที่กลับบ้าน ความทุกข์จากการทะเลาะ ความรู้สึกผิด ผสมปนเปกันไปหมดจนกระทั่งไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เป็นลูกคนโตที่ไม่สามารถรับผิดชอบครอบครัวต่อหลังจากเสาหลักของบ้านเพิ่งพังไป

การเป็น consult มันดีตรงที่ว่า พอถึงจุดที่ประสบการณ์มากพอ คุณจะเป็นที่ต้องการของ Head Hunter ล่ากันอาทิตย์ละหนสองหน offer ส่งมาเทียบเชิญไปสัมภาษณ์เยอะแยะไปหมด ฉันดีใจทุกครั้งที่มีคนส่ง offer มา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะที่เดิมก็ดีมากๆอยู่แล้ว

จุดหักเหมันอยู่ตรงที่ มี offer มา บอกว่าไซต์ลูกค้าอยู่ห่างจากบ้านประมาณห้ากิโล แถมยังเป็นทางผ่านที่จะไปที่บริษัทแม่ นั่นคือ ได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านกับแม่ หลังจากต้องอาศัยอยู่หอมานานถึงแปดปี

จริงๆที่เก่าก็สามารถย้ายให้ฉันไปทำโปรเจคใกล้บ้านได้ แต่ปัญหาใหญ่แสนอุบาทว์ของฉันคือ ฉันอายุ 25 แต่ขับรถไม่เป็น! ใบขับขี่ก็ปล่อยให้ขาดไปนานเป็นชาติ ขืนได้ย้ายไปโปรเจคที่ครึ่งๆกลางๆใกล้ไม่สุดจะเป็นการลำบากเข้าไปใหญ่ คือต้องอยู่หอเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการตื่นเช้ากับค่าแท็กซี่

ตอนนั้นแค่อยากจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับแม่ อยากลองใช้เวลาอยู่ด้วยกันดู อยากจะรู้ว่าสรุปแล้วฉันเป็นลูกซังกะบ๊วย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แม่คนเดียวยังต้องให้น้องชายที่ห่างกันตั้งเจ็ดปีดูแล!

แล้วเสียอะไรไป?

20160829_112001

อย่างแรกคือ เสียใจ ที่ทำให้คนคนหนึ่ง ที่ให้โอกาสเด็กเด๋อๆ จบมหาลัยนอกเมือง ไม่อินเตอร์ ไม่มีภาษีอะไรเลย ไปทำงานต่างประเทศ ผิดหวังในตัวฉัน แม้จะพยายามคิดว่ามันคือจังหวะชีวิตของฉัน จะต้องมีวันที่ลาออก ไม่ว่าช้าก็เร็ว แต่โอกาสที่เขาให้มา คือสปริงบอร์ดพลังร้อยแรงม้าที่ดีดให้ชีวิตการทำงานฉันก้าวหน้าอีกหลายปีแสง เหมือนจับฉันโยนไปในบ่อทองชุบออกมากลายเป็นสินค้าที่มีค่าในตลาดแรงงานขึ้นมาทันที ด้วยความหวังว่าไอ้เด็กคนนี้มันจะกลับมาช่วยงานบ้าง เฮ้อ ถึงทุกวันนี้ยังไม่มีหน้าไปพูดกับท่านเลยด้วยซ้ำ

เสีย connections และ career path อันสดใส การที่จะมาสร้างใหม่ มันยากมากนะ กว่าจะแสดงให้คนอื่นเห็นศักยภาพที่แท้จริงของเราต้องอาศัยหลายอย่าง ทั้งโอกาส ทั้งทัศนคติของผู้บริหารในบริษัท ทั้งเจ้านายที่จะสนับสนุนหรือเหยียบหัวเราให้มิด นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องเสียไปอย่างไม่มีข้อแม้

เสียสภาพแวดล้อมการทำงานดีๆ อันประกอบไปด้วยเพื่อนร่วมงานกับเจ้านายที่โคตรจะเก่งและฉลาด (เพราะผ่านการคัดสรรมาอย่างดี) มีคนสอนให้เราทำงานเป็น ให้โอกาสเราพัฒนาตัวเอง ให้ข้อคิดดีๆ มี framework ให้เราเอาไปประยุกต์ใช้ มีคลังความรู้และคนให้ถามสารพัดเรื่อง และอีกเยอะแยะมากมายพรรณนาไม่หมด

แล้วได้อะไรมา?

20160911_175048

แม้จะนึกเสียใจและเสียดายทุกครั้งที่หันกลับไปมองที่เก่าหรือคุยกับเพื่อนที่ยังคงทำงานที่เดิม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความสุขที่ได้อยู่กับแม่และน้อง ที่ไม่คิดว่ามันจะสุขได้มาก่อน พอกลับมาอยู่บ้าน แม้ที่ใหม่จะต้องทำงานหนักขึ้น ตื่นเช้าขึ้น แต่พอได้ชาร้อนๆที่แม่ชงให้ทุกเช้า กับข้าวอุ่นๆต้อนรับกลับบ้านทุกคืน ได้พูดคุยกัน เห็นกิจวัตรประจำวันของกันและกัน อยู่ใกล้กัน เข้าใจกันมากขึ้น แม่ก็เข้าใจว่าฉันทำงานหนัก ส่วนฉันก็เข้าใจว่าแม่เหงาและชอบทำอะไร เสาร์อาทิตย์แม่ก็ปล่อยให้ฉันนอนพักแล้วค่อยหากิจกรรมทำด้วยกันตอนบ่ายๆ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉันจริงๆ

20160807_154906

ฉันขับรถเป็น! หลายคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องขี้ๆ แต่สำหรับฉันนี่คือความสำเร็จที่แสนจะภูมิใจ ฉันตัดสินใจซื้อรถมือสองและกัดฟันผ่อนทั้งที่ใบขับขี่ก็ยังไม่มี ไปสอบใบขับขี่ก็ตกแล้วตกอีก ทั้งๆที่ที่ใหม่ห้ามลากิจเด็ดขาดก็ยังบากหน้าขอเจ้านายไปสอบและตกกลับมา เวรกรรม… จนกระทั่งสอบผ่านและลองสนามที่ห้าแยกลาดพร้าว! วันแรกนี่สั่นตั้งแต่หัวยันส้งติง ทางก็ไม่รู้ หลงชิบหายวายป่วง ผ่านมาถึงตอนนี้สองอาทิตย์แล้ว ยังพอถูไถให้รถคันอื่นบีบแตรไล่ไปวันๆกว่าจะถึงที่ทำงาน โดยมีเป้าหมายว่าวันหนึ่งจะขับรถพาแม่ไปต่างจังหวัดให้ได้เลย (ชาติหน้าไหมเนี่ย)

ประสบการณ์เอาตัวรอดขั้นเทพ ที่ใหม่ ฉันถูกยัดเข้าไปกลางโปรเจค ไร้ข้อมูล ไร้แบคกราวน์ วันๆเข้าประชุมกับผู้บริหารของลูกค้า 4-5 sessions จุดประสงค์ประชุมบางทีก็ไม่รู้ สไลด์ก็ไม่มี แต่เจ้านายบอกให้กุ lead กุก็ต้องทำได้ อาศัยปะติดปะต่อข้อมูลระหว่างประชุมมาเป็น input ประมวลผลและก็ให้ recommendation กันจังหวะนั้น เหมือนเล่นเกม survivor ทุกขณะจิต แต่ทุกวันที่ผ่านมันมาได้คือภูมิใจขั้นแม๊กซ์ ขับรถกลับบ้านดึกๆก็เปิดเพลงเทย์เลอร์ดังๆในรถและแหกปากร้องตามพร้อมเขย่ากบาลไปด้วย (ยังขับรถไม่โปรเลยยังไม่กล้ายกไม้ยกมือ เหอะๆ)

สรุปคือ?

ชีวิตมันไม่มีสูตรแน่นอน ไม่มีถูกไม่มีผิด ถามว่าเสียใจไหมที่ลาออก? ตอบได้เลยว่าเสียใจมาก แต่ถ้าถามว่าจะเสียใจไหมที่ไม่ลาออก? ก็เสียใจสุดๆเหมือนกัน ประเด็นของฉันคือถ้าเรามีปัญหา ให้กล้าที่จะลองลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ไขมัน เพราะอย่าหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนถ้าเรายังทำเหมือนเดิม แต่ทุกอย่างมันมีสองด้าน แค่ต้องเตรียมใจรับผลเสียจากความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน

11 comments

  1. โคตรสุดยอด เก่งและเข้มแข็งจริมๆ

    นับถือจริงๆ

    • ขอบคุณค่ะ แต่ยังพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัยอยู่ดี 555

  2. สุดยอดและเก่งมากๆ ครับ เชื่อว่าไม่นานก็ขับรถเก่งขึ้นแน่นอน (อาจจะเก่งเร็วกว่าคนอื่นเสียอีกครับ) เป็นกำลังใจให้ครับ

  3. น่ารักมากๆค่ะ น่ายินดีนะ ที่คุณเจนยังกลับบ้านไปอยู่กับแม่และน้อง นับถือหัวใจจริงๆ

  4. ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจครับ
    ตอนนี้มีแผนว่าจะเปลี่ยนงาน เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองเหมาะกับงานที่ทำอยู่หรือเปล่า
    แต่โดยอุปนิสัยชอบการต่อรอง และพูดคุย เลยมโนเอาว่าตัวเองคงเหมาะกับงาน Consultant มากกว่า

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะครับ

  5. ไม่รู้ว่าเจ้าของบลอคจะยังกลับมาอ่านอยู่มั้ย

    แต่เราอยากขอบคุณมากเลยค่ะที่เขียนเรื่องนี้
    เพราะตอนนี้เราก็เผชิญสถานการณ์คล้ายๆกัน
    ของเราคือ มีทั้งสิ่งที่กำลังจะเสียไป ซึ่งเสียดายมาก
    และสิ่งที่กำลังจะได้จากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็มีความกังวลหลายอย่างเลย

    แต่ทำให้เรารู้ว่าไม่ได้มีแค่เราคนเดียวในโลกที่มีความรู้สึกนี้
    ขอบคุณนะคะ

    • สู้ๆนะคะ ทุกอย่างมีทั้งบวกและลบ แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือเรายังจะเติบโตและเรียนรู้บางอย่างจากเหตุการณ์นั้นๆเสมอ เป็นกำลังใจให้ค่ะ 🙂

  6. ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์นะครับตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบคุณเจน ตอนที่ต้องทำงานไปด้วยและกลับมาดูคุณพ่อ.. ประสบการณ์คุณเจนทำให้รู้ว่าผมไม่ได้กำลังเจอเรื่องโหดร้ายนี้คนเดียวบนโลก มีหลายคนที่เจอเหมือนกัน ขอบคุณมากครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*