ชีวิตต่างถิ่น ณ ดินแดนสิงคโปร์ : Dear Diary II (Oct 14 – Dec 14)

เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการทำงานในสิงคโปร์ ชีวิตมันช่างท้าทายจนบางทีก็อยากจะตะโกนดังๆว่า พอซักทีเห้อออออออ ให้ตรูได้พักบ้างได้ไหม ทุกวันไปทำงานด้วยความตื่นเต้นว่าจะเจออะไร เรียกได้ว่า แทบไม่มีวันไหนที่น่าเบื่อ เพราะมันท้าทาย เครียด กดดัน ว๊ากกกกก แต่ที่สำคัญที่สุดคือช่วงเวลานี้สอนอะไรกับฉันค่อนข้างเยอะ ทำให้ฉันโตขึ้นและภูมิใจว่าอย่างน้อยก็ผ่านมันมาได้

Oct 14: โปรเจคนอกทีม อดทนกับการดูถูก ต่อสู้กับอคติ

ความเดิมตอนที่แล้ว (ละครหรือเปล่า) ฉันถูกมอบหมายให้มาทำโปรเจคของทีม Security แล้วเพื่อนที่ทำอยู่ด้วย ดันลาไปเที่ยว 3 อาทิตย์ ฉันเลยต้องทำงานอยู่กับนายอยู่ 2 คนลำพัง ไปไหนไปกัน ตัวติดกันตลอดเวลา ดูท่าจะโรแมนติกแต่สยองมาก เพราะต้องรองรับอารมณ์ของนายคนนี้อยู่ตลอด เดี๋ยวจะมีตัวละครมาเกี่ยวข้องอีกเยอะมาก จึงขอเรียกนายคนนี้ว่า นายศรีลังกา (เพราะท่านถูก import มาจากประเทศศรีลังกานั่นเอง)

ในที่สุด เพื่อนตัวดีก็กลับมาจนได้ ดูสำนึกผิดมากที่ทิ้งฉันไว้กับนายศรีลังกาเลยพาฉันไปเลี้ยงอาหารจีนอย่างดีจนอิ่มหน่ำสำราญ ตอนนั้นฉันโล่งใจมาก คิดว่าสบายละตรู คราวนี้ก็จะทำงานอย่างไม่มีปัญหา สองแรงแข็งขันช่วยกันคงจะดีมาก แต่ทว่าบรรยากาศ(สำหรับฉัน)ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เจ้านายดันเชื่อแต่คุณเพื่อนทั้งๆที่ดิฉันเป็นคนที่ไปพบลูกค้า สัมภาษณ์ลูกค้า จดบันทึกการประชุมกับคุณอยู่ 2 คน แม้จะพูดสิ่งๆเดียวกัน แต่พอฉันพูด นายจะไม่เชื่อ พอเพื่อนพูด นายดันเชื่อ เอิ่มมมม

อีกปัญหาใหญ่ๆคือ เจ้านายเป็นคนที่ไม่เชื่อมือใคร เขาจะบอกให้พวกเราเขียนๆ report ไปเถอะ เดี๋ยวเขาจะเขียนแก้ใหม่ทั้งหมดส่งลูกค้าเอง ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะมันดูเหมือนพวกเราทำงานไม่ดีพอ ทำให้เขาต้องมาเหนื่อยเพิ่มหรือเปล่า อีกแง่คือ ท้อใจ เหมือนว่าจะทำไปทำไมในเมื่อนายจะแก้ใหม่หมดเลย ฉันพยายามหลายครั้งที่จะเข้าไปคุยด้วย วาด flow ให้ดูว่า เราจะเขียน report กันแบบนี้ วาง structure แบบนี้ message ประมาณนี้ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเขาจะแก้เอง เอาเข้าไป เวอร์ชั่นที่เขาแก้มา เห็นแล้วจะเป็นลม ขนาดคุณเพื่อนยังส่ายหน้า เอาไปเทียบกันมาตรฐาน security ตัวไหน ทั้ง ISO, ISF, CMMI ฯลฯ ก็ไม่ตรงทั้งนั้น งงๆ จัดไม่ถูกว่าเป็น observation (ข้อสังเกต) หรือ recommendation (คำแนะนำ) เวลาฉันไปถามหรือขอคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนเนื้อหาเป็นแบบนี้ จะได้ยินเหตุผลประมาณว่า “Jane, your technical skills are very low, sometimes you can’t trust the standards” ก็อธิบายมาซิฟระ ถ้าเชื่อมาตรฐานไม่ได้ให้ตรูศึกษาจากไหน จะพูดอะไรก็ไม่ฟัง แย้งหรืออธิบายอะไรก็หาว่าเพิ่งทำเป็นโปรเจกแรก ไม่มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอ เออ รู้ แต่ดิฉันก็พยายามอยู่ อ่านมาทุกวัน บางเรื่องก็เคยทำมาโดยตรง ฟังหน่อยเถอะนะเจ้านายจ๋า

มีอยู่ 2 สิ่งที่ฉันอยากจะบอกเจ้านายคนนี้เหลือเกิน(ถ้าเป็นไปได้)

1. เสียเวลาซักนิด นั่งคุยกันให้รู้เรื่อง ตกลงให้เข้าใจก่อนทำงานใดๆ ยิ่งมีหลายๆ report ที่ต้องส่งลูกค้า ควรจะวางโครงให้มันสอดคล้องกัน ตัดสินใจตั้งแต่ทีแรก ไม่ใช่แก้ไปแก้มา เสียเวลา หงุดหงิด งงอีกตั้งหาก

2. ไม่อคติ หยุดฟังลูกน้องอธิบายซักนิด เพราะเขาอยู่กับงานของเขาหลายสัปดาห์ ทุกตัวอักษรที่เขียนไปมันมีที่มาที่ไปอยู่แล้ว อย่าเพิ่งคิดว่าเด็กมันกระจอก เด็กมันไม่รู้เรื่อง เพราะถ้าคุณไม่ให้โอกาสเขา แล้วเด็กคนนั้นจะเก่งขึ้นมาได้อย่างไร

แต่ใช่ว่าฉันจะดีเลิศประเสริฐศรีไปซะทั้งหมด สิ่งที่ฉันควรจะแก้ไขก็มี คือ

1. technical skills ต้องอ่านและศึกษาให้เยอะกว่านี้ ฉันไม่มี passion ในด้าน IT โดยเฉพาะเวลาลงรายละเอียดหนักๆ จะแขยงและไม่อยากรับรู้โดยไม่รู้ตัว การศึกษาด้านนี้เลยทำให้กินพลังงานมากๆ นั่นอาจทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจและมั่นใจกับความรู้ที่มีอยู่น้อยนิดก็ได้ ดังนั้นจะต้องปรับทัศนคติใหม่ ไม่ชอบก็ต้องชอบถ้าคิดจะเอาดีด้านนี้ หรือไม่ก็หาทางเปลี่ยนสายไปเลย

2. ฉันเป็นคนทำงานหนัก หรือดึกได้ โดยมีข้อแม้ว่ามีเหตุจำเป็นและเป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากต้องทำงานดึกๆดื่นๆ แต่เป็นผลมาจากการ manage ไม่ดีของเจ้านาย หรืออยู่ในการประชุม/การทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพฉันจะหงุดหงิดมาก เช่น ต้องร่าง report ส่งลูกค้า แทนที่จะให้ฉันร่างมาก่อน คิดมาก่อน แล้วค่อยมา review ถกเถียงกันในห้องประชุม แต่ดันจัดประชุมเลย เอาทุกคนมารวมกัน ฟังเจ้านายพูดแล้วพิมพ์ตาม และทุกครั้งที่ฉันหงุดหงิด ฉันมักจะเก็บอารมณ์ไม่ได้ แสดงออกทางสีหน้าเสมอ จนเป็นเหตุให้เจ้านายคิดว่าฉันไม่สู้งาน ไม่ใส่ใจอยู่ร่ำไป เคยทะเลาะกับเจ้านายในเรื่องนี้ก็มี ฉันไม่เคยโทษตัวเองเลยสักครั้ง แต่พอมานั่งคิดดีๆ การโมโหและหงุดหงิดรั้งแต่จะฆ่าตัวฉันเอง นายก็ไม่ชอบ งานที่ออกมาก็ไม่ดี บางทีตัวเจ้านายอาจจะมีเหตุผลหรือข้อจำกัดบางอย่าง หรือแม้จะ manage ได้ห่วยแตกจริงๆก็ช่างประไร มองว่ามันคือความท้าทายที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จด้วยดีให้ได้ ฉันควรจะหัดปรับตัวให้ทำงานเข้ากับคนอื่นไม่ใช่หวังแต่ว่าจะให้คนอื่นปรับตัวหาฉัน

Nov 14: โดนปลดออกจากโปรเจคกลางอากาศ โดนบีบให้หยุดงาน คุณต้องการอะไรจากสังคม! 

จากตกลงกันไว้ว่าฉันจะได้ทำงานอยู่ในโปรเจคนี้จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกา แต่อยู่ดีๆ เจ้านายศรีลังกาก็เปรยๆว่าตอนนี้ budget กำลังจะหมด เขาอาจจะถอดฉันและเพื่อนออกจากโปรเจค แต่แล้วนายก็จัดการถอดฉันออกจากระบบทันที ฝั่งเพื่อน เขาให้เวลา 1 อาทิตย์ในการหาโปรเจคใหม่ก่อนถูกถอดออกจากโปรเจค ตอนนั้นแอบโมโหแต่พูดไม่ออก เพราะ

1) ปกติการถอดคนออกจากโปรเจคต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันตั้งแต่แรกในระบบ หากมีความจำเป็นต้องถอดออกก่อนควรจะแจ้งเจ้าตัวก่อนซัก 1-2 อาทิตย์เพื่อที่จะได้หาโปรเจคอื่นได้ทัน ให้เวลากันไม่ถึงวันก็เงงสิคะ

2) การหาโปรเจคมาทดแทนให้เด็กควรเป็นหน้าที่ของ manager หรือตำแหน่งที่สูงขึ้นไป เพราะพวกเขารู้ว่าใครมีโปรเจคอะไรบ้างอยู่ในมือ พวกเด็กๆไม่มีข้อมูลว่า manager คนไหนมีโปรเจคอะไรบ้าง ต้องการคน skills แบบไหน แม้ฉันจะพยายามถามเพื่อนบ้าง ถาม Manager ที่รู้จักบ้าง พยายามทำความรู้จักกับ manager คนอื่นๆ แต่ระยะเวลา 4 เดือนบวกกับที่ต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาฉันก็คิดว่าฉันทำเต็มที่แล้ว

หลังจากถูกถอดออกไม่ถึงวัน ท่าน Partner ส่งอีเมลถึงฉันกับเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ถูกมอบหมายให้ลงโปรเจคใดๆว่าให้ลาหยุดโดยใช้วันหยุดของตัวเองไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท (เป็นรูปแบบการคิดคำนวณค่าใช้จ่ายของบริษัท consult หากคุณอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ได้ลงโปรเจคใดๆแม้เพียงวันเดียว บริษัทจะถือว่าคุณไม่ได้ทำกำไรให้บริษัท เป็น cost ที่ต้องตัดออกให้ได้) บอกตรงๆว่าฉันอึ้งมากกับความเมตตากรุณาปราณีของเจ้านายทั้งหลาย เห็นแก่ตัวกันเหลือเกิน คิดบ้างหรือเปล่า ว่าบอกวันนี้ ให้ลาพรุ่งนี้ ใครมันจะไปซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านได้ทัน ถึงจะกัดฟันซื้อตั๋วได้ บินกลับไป พ่อแม่ก็ลาไม่ได้ ไม่ได้บอกล่วงหน้า จะไปทำฟัน หาหมอตรวจสุขภาพ ก็ไม่ได้นัดหมอไว้ล่วงหน้า บ้าไปแล้ว ฉันได้แต่ตั้งสติแล้วรีบคุยกับ manager ทุกคนที่ฉันรู้จัก ในขณะที่ต้องทำงานให้นายศรีลังกาไปด้วยเพราะเขาอยากได้งานทุกอย่างก่อนที่จะถอดฉันออก เขาเลือกที่จะหางานให้เพื่อนอีกคนที่โดนบังคับให้ลาเหมือนกันเพราะเพื่อนคนนั้นอยู่ในทีมของเขา และเขาก็เรียกฉันมาพูดว่า มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาที่ฉันจะไม่มีงาน หยุดพูดเถอะ ขอตรูสงบสติอารมณ์แปร๊บนะคุณเจ้านาย

โชคดีที่ฉันทำงานอยู่ใน Consulting Junior Board และมี connection อยู่กับ Manager อยู่หลายคน หนึ่งในนั้นกำลังหาคนไปช่วยเขาในโปรเจคภายใน (internal project) คือทำให้บริษัท ไม่ได้ทำให้ลูกค้า จังหวะนี้จะทำอะไรก็เอาทั้งนั้นแล้ว แค่ไม่ต้องถูกบังคับหยุดก็พอ

ฉันเลยเข้าไปคุยกับเจ้านายชาวมาเลเซียคนนี้ ขอลงโปรเจคของเธอตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป คุยจนเธอยอม แต่ในเงื่อนไขที่ว่าฉันต้องช่วยงานเธอตั้งแต่วันนี้ ทำให้เสร็จภายใน 5 โมงเย็นเพราะเร่งมาก นายศรีลังกาก็จะเอางาน นายมาเลเซียก็จะเอางาน หรรษาจริงๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือฉันมีโปรเจคทำแล้ว ฉันรีบส่งอีเมลไปบอกคุณ Partner เขียนอธิบายถึงที่มาที่ไปด้วยความดีใจ แต่คุณ Partner ส่งข้อความกลับมา 2 คำว่า who approves?

แล้วคุณมึงจะเอายังไงมิทราบคะ

ตอนนั้นคือมึนมาก เข้าใจว่าการทำโปรเจคภายในนั้นได้กำไรน้อยกว่าทำให้ลูกค้า แต่ก็ไม่มีโปรเจคให้ฉันลงได้ ฉันเลยได้แต่บอกให้เจ้านายมาเลเซียไปคุยกับ Partner ให้และกัดฟันทำงานให้เสร็จตามคำสั่ง ชะตาชีวิตในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ต้องหยุด ทำโปรเจคใหม่ หรือทำอย่างอื่น ไม่อาจรู้ได้ เป็นครั้งแรกที่กลับบ้านไป กินข้าวเสร็จแล้วอาเจียน ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ไปคุยกับใคร กลัวไปหมด ว่าจะไม่ผ่านการทำงานที่สิงคโปร์ครั้งนี้ กลัวถูกส่งกลับ กลัวพ่อแม่ผิดหวัง กลัวอับอายคนอื่น ฯลฯ fail จริงๆ

Nov 14: สติเกือบหลุด ใช้ชีวิตอย่างอุตลุดท่ามกลาง office politic

ผลของการที่นายมาเลเซียไปคุยกับ Partner ทำให้ฉันเลยได้ทำงานในโปรเจคนี้ไปก่อน แต่ชีวิตก็ไม่ได้สงบสุขอย่างที่หวังไว้ ทุกวันจะต้องมีคนเรียกไปคุย Manager บ้าง Director บ้าง ส่งตัวไปสัมภาษณ์กับแผนกอื่น บางวันต้องไปคุยกับหลายๆคน งานก็ต้องทำไปด้วย ว๊ากกกก ต้องอยู่ดึกเป็นประจำเพราะวุ่นวายวิ่งรอกคุยกับคนโน่นคนนี้ เซ็งจิต

กลับมาที่ office politic ฉันเหมือนติดอยู่กลาง politic ของ Partner 3 คน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แต่ละคนก็จะเขียนเมล์บ้าง เรียกไปคุยบ้าง สั่งมาผ่าน Manager หรือ Director บ้าง ให้ฉันทำแบบนั้น แบบโน้น แบบนี้ จนไม่รู้จะทำแบบไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรทำแต่ไม่ยอมทำคือ คุยกัน คุยกันสิคะ Partner ทั้งหลาย ไม่มีเวลานั่งคุย โทรเอาก็ได้ หรือไม่ก็เขียนอีเมล ไม่ใช่ต่างคนต่างกดดันกับลูกน้อง กุเครียดรู้ไหม ช่วงนั้นเครียดและกดดันมาก หลังจากกลับมาอาเจียนครั้งที่สอง ฉันเลยตั้งใจว่าฉันจะต้องทำอะไรซักอย่างก่อนที่จะเสียสติไปซะก่อน ถึงกับไปหาหนังสือมาอ่าน ชีวิตดีขึ้นพอสมควร ไว้จะมาสรุปเนื้อหาหนังสือให้ฟังในภายหลังค่ะ

อันนี้เป็นข้อคิดที่เพื่อนให้มา ช่วยได้ในระดับหนึ่ง

unnamed

Dec 14: สัมภาษณ์งานกับลูกค้า ทำใจดีสู้เสือ

ถือประสบการณ์โดนลูกค้าเรียกสัมภาษณ์ครั้งที่สองในชีวิต แต่เป็นครั้งแรกที่เป็นภาษาอังกฤษและไปคนเดียว รู้ล่วงหน้าแค่ไม่ถึงวัน มีเวลาเตรียมตัวประมาณ 15 นาที สรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้

– ไม่รู้แม้กระทั่งตำแหน่งที่ตั้งของตึกลูกค้า งานก็ดันเร่งมาก ไม่มีเวลาค้นหาใน Google Maps ต้องถามๆเพื่อนที่นั่งอยู่แถวๆนั้นเอา 

– ไม่รู้ว่าต้องมาสัมภาษณ์กับใคร เจ้านายคนที่บอกให้มาสัมภาษณ์ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน โทรมาบอกทางโทรศัพท์ว่าให้มาสัมภาษณ์และนางก็บินออกนอกประเทศโดยลืมให้รายละเอียดมา เอิ่ม ถามเพื่อนร่วมงานก็ให้เบอร์คนที่คิดว่าน่าจะเป็นคนสัมภาษณ์มาให้ เค้าดันลา เจรจาแบบขลุกขลักอยู่กับ reception ประมาณ 10 นาที ก็สามารถเดินเอ้อระเหยขึ้นไปหาลูกค้าจนได้

– แรกพบลูกค้า ลูกค้าเป็นอิสราเอล อืมมม ฉันรู้อะไรเกี่ยวกับอิสราเอลบ้าง อยากจะพูดเปิดตัวให้ประทับใจ คิดดิ๊คิด สงครามน้ำมันกับอเมริกา ไม่ดีแน่ อ๋อ กำลังจะไปตุรกีเลย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับอิสราเอล เลยเดี๋ยวจะมาซื้อ Travel Insurance กับที่นี่ เฮือก รอด ทำเป็นหัวเราะคิกคัก กุโคตรตื่นเต้น

– ระหว่างสัมภาษณ์ คุยฟุ้งไปตามประสา แมร่งถามโคตรละเอียด ศัพท์ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่สู้ตาย ถามไปถามมา ลูกค้าบอก well แล้วหยิบกระดาษขึ้นมา นั่นไง กุว่าแล้ว ต้องมีให้แสดงอิทธฤทธิ์ปาฎิหารย์อะไรซักอย่างแน่นอน ลูกค้าบอกให้วาดโปรเซสโฟรของสถานการณ์ตัวอย่าง แล้วนั่งจ้องอยู่อย่างนั่น เก๊าเขินนะ รับกระดาษมาแล้วก็วาดไป อธิบายไปว่าทำไมวาดแบบนี้ โห อะไรมันจะโปรเฟสชันนอลขนาดนี้ หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอกแล่ววว

– คำถามโชว์กึ๋น ลูกค้าถามว่า อยากจะถามอะไรไหม อืม คิดในใจ ไม่นะ กุอยากกลับแล้ว พูดออกมา เยอะแยะเลยค่ะ แต่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับงาน แล้วหัวเราะตลกกลบเกลื่อนเพราะตรูคิดไม่ออก ซื้อเวลาไว้ก่อนจนคิดออกพอดี คำถามที่ถามลูกค้าก็ชมว่า เป็นคำถามที่ดี โอ้ รอดตาย

– ในที่สุดลูกค้าก็ปล่อยกลับ แต่หาทางออกจากตึกไม่ได้ สุดท้ายเดินตามคนออกมาเลยโดนยามด่าว่าเทลเกท ยืนสำนึกผิดหน้าซีดให้ยามว่าอยู่ 5 นาที

Dec 14: นายใหม่ โปรเจคใหม่ กับทักษะใหม่ๆที่ต้องพัฒนา

การเรียนรู้งานใหม่ สไตล์การทำงานใหม่กับเจ้านายมาเลเซียไม่ใช่เรื่องง่ายเลย (แต่ยังสบายใจกว่านายศรีลังกา) เรียกได้ว่ารูปแบบการทำงานต่างกับนายศรีลังกาโดยสิ้นเชิง คนนี้สั่งสั้นๆ ที่เหลือจงไปคิดสรรค์สร้างมาเองว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ทั้งยังใส่ใจทุกรายละเอียด แก้แล้วแก้อีก คิดจนหัวแทบแตก แต่นี่แหละสิ่งที่ต้องการ มันมันส์จริงๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังขาดก็คือความมั่นใจที่จะทำอะไรคนเดียว หรือถ้าเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อนจะแอบมึนแล้วจะต้องถาม manager ว่าควรทำยังไง ไปหาข้อมูลจากไหน จนเธอคงเหนื่อยใจบอกให้หัดคิดเองบ้าง อันนี้ต้องยอมรับว่าฉันยังไม่โตจริงๆ ต่อไปต้องคิดให้รอบกว่านี้ พยายามหาข้อมูลให้มากกว่านี้ ก่อนจะถามคำถามอะไรซักอย่าง

Dec14: จัดการกับ heartbreak feedback หยุดคิดสักนิดก่อนท้อใจ

ก่อนที่จะหยุดปีใหม่ ฉันโดน Partner คนที่เคยบังคับให้หยุดเรียกพบ ครึ่งชั่วโมงของการคุยกัน ออกมาแทบร้องไห้ feedback ที่เขาให้มาเรียกได้ว่าแย่มาก เช่น ทำงานได้ไม่ดีเท่ากับความคาดหวัง ไม่มี energy ในการทำงาน ฯลฯ แต่พอถามรายละเอียดว่ายังไง เขากลับบอกว่าให้ไปคุยกับเหล่า Manager เองเพราะได้ feedback มาอีกทีเหมือนกัน

แต่ก่อนน้ำตาจะไหล ฉันตั้งสติแล้วจด feedback ทั้งหมดลงสมุด จากนั้นก็นัด Manager ทุกคนคุยเพื่อหาจุดที่ฉันสามารถปรับปรุงได้ แม้ว่าจะเสียใจแต่ฉันพูดกับตัวเองว่าดีแล้ว ที่มีคนบอก มีคนเตือน

Manager ทุกคนที่รับนัดให้ feedback กับฉันดีมาก จนเริ่มงงว่า ตกลงสิ่งที่ Partner บอกมันคืออะไร ขาดแต่นายศรีลังกาที่ไม่ยอมรับนัดซักที จนสุดท้ายแกยอมคุยด้วย (หลังจากไปตื้อและชักแม่น้ำทั้ง 5) เขาบอกว่าสิ่งที่เขาพูดกับ Partner ไม่ได้หมายว่าฉันทำไม่ดีไม่ตรงความคาดหวัง การสื่อสารอาจจะผิดพลาด แต่ก็มีสิ่งที่เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน ฉันจดทุกข้อที่เขาบอกมาแล้วประเมินตัวเองอย่างเป็นธรรม บางข้อที่เห็นด้วย บางข้อที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันภูมิใจคือ

ฉันไม่ตีโพยตีพาย ไม่เถียง ไม่อ้าง เปิดใจรับ feedback และพยายามพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง

หกเดือนแรกผ่านไป ยาวซักหน่อย แต่ฉันอยากเขียนเก็บไว้เตือนใจตัวเองว่าได้ผ่านมันมาแล้ว ต่อไปจะได้เข้มแข็งขึ้น เป็นคนที่ดีขึ้นนั่นเอง

One comment

  1. โคตรเทพ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*