คำแนะนำในการทำงานดีๆจาก TED talks

TED talks เป็นการประชุมที่คนที่มีความคิดดีๆล้ำๆมาแบ่งปันให้ชาวโลกรับรู้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Ideas worth spreading แถมอัดวีดีโอเป็นตอนๆเก็บไว้พร้อมมีคนมาแปลเป็น subtitle ให้เสร็จสรรพ หากใครสนใจไปตาม link นี้ได้ https://www.ted.com/

ฉันเริ่มต้นการดู TED talks เพราะอยากฝึกภาษาอังกฤษ ไปๆมาๆคือได้ทั้งภาษาอังกฤษและความคิดดีๆมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จากเกือบร้อยกว่า talks ที่ดูมา วันนี้คัด 2 TED talks ที่ฉันใช้มากที่สุดในชีวิตการทำงานมาเล่าสู่กันฟัง

1. Your body language shapes who you are ของ Amy Cuddy ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคมในมหาวิทยาลัย Harvard

หลายคนๆคงเคยได้ยินมาแล้วว่า มนุษย์เรารับรู้จากท่าทางหรืออัปกิริยาหรือที่เรียกว่า non-verbal ได้มากกว่าคำพูดหรือ verbal ซะอีก ดังนั้นสิ่งที่คนอื่นแสดงออกมาจะมีผลต่อความคิดของเราโดยตรง และในทางเดียวกัน ท่าทางที่เราทำก็มีผลโดยตรงต่อสิ่งที่เรารู้สึกกับตัวเอง

Our non verbal governs how we feel about ourselves.

มีการวิจัยให้แบ่งกลุ่มคนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ทำท่า high power pose ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้ทำ low power pose ตามรูปข้างล่าง เป็นเวลา 2 นาที

high-low power pose

Source: https://mystarjob.com


ผลวิจัยพบว่า คนที่ทำท่า high power pose จะมีความมั่นใจในตัวเองสูงกว่า กล้าตัดสินใจและกล้าที่จะเสี่ยงมากกว่า (จากการวิจัยคือให้เลือกว่าจะพนันโดยการทอยลูกเต๋าหรือไม่) ถ้าไปสมัครงานก็จะถูกเลือกมากกว่า ซ้ำยังมีฮอร์โมนที่ชื่อว่า testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนของอำนาจ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ผลสรุปคือการทำท่าที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีอำนาจเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ทัศนคติและการกระทำของเราเปลี่ยนไปด้วย

Our bodies change our minds.

สิ่งที่ฉันเอาไปใช้ในชีวิตการทำงานคือ

  1. ก่อนที่จะขึ้น present งานใหญ่ๆ เช่น ทำ workshop ให้ลูกค้าจำนวนมาก ขึ้นพูดใน event ของบริษัทที่สำคัญ เป็นต้น ฉันจะเข้าห้องน้ำและยืนทำท่า wonder woman อยู่ 2 นาที สูดหายใจลึกๆ และบอกกับตัวเองว่าเราทำได้
  2. เวลานั่งประชุมกับลูกค้าหรือ partner จะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ห้ามนั่งกอดอก ท่าหลักคือนั่งพิงเก้าอี้ หลังตรง ทำตัวสบายๆ แต่ไม่ถึงกับไม่มีมารยาท

ถามว่าช่วยได้ไหม สำหรับฉันคือช่วยเรื่องความมั่นใจ ทั้งในตัวเราเองและคนอื่นที่มองเรา ยิ่งอาชีพของฉันต้องการความน่าเชื่อถือและเป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างสูง เรื่องนี้คือจุดสำคัญมากๆ

หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ fake it until you make it แต่ Amy ได้ให้คำที่แรงกว่านั้นขึ้นมานิดหนึ่งคือ

Fake it until you become it

ฝึกทำทุกวัน วันละ 2 นาทีไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เราจะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจและกล้าตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว

2.  Why we have too few women leaders ของ Sheryl Sandberg COO ของ social media ชื่อดัง Facebook

ปัจจุบันนี้มีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งสูงๆขององค์กรต่างๆ ทั้งเอกชนและรัฐบาล น้อยอย่างน่าใจหาย และทิศทางดูเหมือนจะลดลงเรื่อยๆ

จริงๆไม่มีคำตอบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดระหว่างการเลือกที่จะเป็นอยู่บ้านเลี้ยงลูกหรือเลือกที่จะไต่บันไดความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่สำหรับคนที่เลือกอย่างหลัง Sheryl มีคำแนะนำให้ 3 ข้อ คือ

1.Sit at the table

ตัวฉันอยากจะเน้นย้ำเรื่องนี้มาก เพราะปกติเวลาไปประชุมกับลูกค้าที่ไหน คนไทยส่วนใหญ่ (ในกรณีนี้เป็นทั้งหญิงและชาย) เวลาเดินเข้ามาในห้องประชุม สิ่งแรกที่จะทำคือ เลือกนั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ข้างๆห้อง มากกว่าที่จะนั่งที่โต๊ะ กลับกัน ตอนฉันไปทำงานที่สิงค์โปร สังเกตว่าทุกคนจะเดินมานั่งที่โต๊ะประชุมอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะชนชาติตะวันตกทุกคน นั่งเฉยๆไม่พอ ยกเท้าไขว่ห้าง เอนตัวไปข้างหลัง อยู่ในท่า high power pose โดยอัตโนมัติ

จากผลสำรวจ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เวลาถูกถามว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จ คำถามตอบของผู้หญิงคือ เพราะโชคช่วยบ้าง คนโน้นคนนี้ช่วยบ้าง ส่วนผู้ชายจะตอบว่า แน่นอนว่าเพราะตัวผมเองที่มีความสามารถไง (ยังจะถามอีก?)

ผลสำรวจบอกว่า ผู้ชายมักจะต่อรองเงินเดือนแทบทุกครั้ง ต่างกับผู้หญิงที่แทบไม่ต่อรองเงินเดือนเลย

เคยมีงานวิจัยที่โด่งดังของ Harvard แบ่งนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนักวิจัยสมมติตัวละครขึ้นมาชื่อเฮดี้ เป็นเจ้าของกิจการ มีการตัดสินใจที่เฉียบคม มีความเป็นผู้นำ มีความมั่นใจ ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในขณะที่กลุ่มที่สอง สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงอย่างเดียว คือเปลี่ยนชื่อตัวละครจากเฮดี้เป็นฮาวเวิร์ด เชื่อหรือไม่ว่าแค่เพศที่เปลี่ยนไป ทำให้นักศึกษากลุ่มแรกมองว่าเฮดี้ประสบผลสำเร็จก็จริง แต่ดูไม่น่าทำงานด้วย ในขณะที่ฮาวเวิร์ดเป็นคนที่ทั้งน่าชื่นชมน่าคบหา

นั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของการเกิดเป็นผู้หญิง เพราะความสำเร็จกับความเป็นผู้หญิงมักมีความสัมพันธ์ในทางลบ (negative correaltion) พูดง่ายๆคือ success = being mean ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ชาย ยิ่งสำเร็จคนยิ่งชอบ success = being liked

สิ่งที่ฉันเอาไปใช้ในชีวิตการทำงานคือ

  1. นั่งที่โต๊ะในห้องประชุม เสมอ
  2. กล้าที่จะต่อรองเพื่อตัวเอง
  3. own my success บอกตัวเองว่าความสำเร็จของเรา เกิดขึ้นจากความสามารถของเรา
  4. สุดท้ายคือ เตือนตัวเองเสมอ ไม่ให้ตัดสินผู้หญิงที่เก่ง ประสบความสำเร็จ ว่าไม่น่าคบหา (อันนี้ที่ร้ายกว่า ส่วนใหญ่ผู้หญิงเก่งจะโดนคนสงสัยว่าจะมีสามีหรือเปล่านะ) เพราะนั่นคือทัศนคติในสังคมเรา ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนทัศนคตินั้น ต้องเริ่มจากตัวเราก่อนที่ต้องมองทุกคนอย่างเท่าเทียม

สองคำแนะนำที่เหลือ ฉันยังไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่จะขอเอามาเล่าสู่กันฟัง

2.Make your partner a real partner

ถ้าแปลตรงตัว คือให้หาคู่ชีวิตที่จะมาเป็นคู่ชีวิตจริงๆ

จากผลสำรวจพบว่าผู้หญิงทำงานบ้านมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า รับหน้าที่เลี้ยงลูกมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า ในกรณีที่ทั้งคู่ทำงานประจำเหมือนกัน

ดังนั้นผู้หญิงเราควรมองหาคนที่จะมายืนข้างๆและช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องนี้ด้วย แต่ก็นะ สาวๆหลายคนคงบอกว่า จะให้หาผู้ชายธรรมดาๆยังยากเลย นับภาษาอะไรกับเงื่อนไขวุ่นวายจุกจิก ไม่ขึ้นคานกันทั้งประเทศหรอกหรือ ไม่นะคะ เดี๊ยนมีความเชื่อ เพชรในตมมันยังมีอยู่ เพื่ออนาคตที่ดีสาวๆต้องพยายามนะจ๊ะ

3.Don’t leave before your leave

สาวๆหลายคน เวลาคิดว่าจะแต่งงาน มีลูก มีครอบครัว ก็จะเลิกไขว่คว้าหาความสำเร็จ หยุดคว้าโอกาสหลายๆอย่างรวมถึงการเลื่อนตำแหน่งหรือทำงานที่ท้าทายขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่า เดี๋ยวไม่มีเวลาให้ลูก ให้ครอบครัว ให้สามี ให้แม่สามี ฯลฯ ทั้งๆที่บางคนยังไม่มีแม้กระทั่งแฟน!?! (Sheryl บอกมาแบบนี้ เจนไม่รู้หรอกว่าความจริงเป็นยังไง ไม่มีประสบการณ์ถึงขั้นนั้น) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งคุณเหนื่อยที่บ้านเท่าไหร่ งานที่ทำงานที่คุณทำจะต้องสนุก ท้าทาย และมีค่ามากขึ้นไปอีก คุณถึงอยากจะไปทำงานทุกวัน ดังนั้น อย่าเพิ่งถอดใจกับหน้าที่การงานด้วยเหตุผลจากสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น

ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงจุดนี้ หวังว่าจะได้อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อย จริงๆมีอีกหลาย talks ที่สามารถเอามาปรับใช้ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้ ไว้จะเอามาเล่าสู่กันฟังวันหลังนะคะ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*