แฉงาน consult : ข้อดี ข้อเสีย

เมื่อเร็วๆนี้ได้สัมผัสวันที่งานไม่เร่ง ไม่มีประชุมตอนบ่าย ไม่มี conference call ใดๆทั้งสิ้น เป็นวันมหัศจรรย์นานๆมีที เลยถือโอกาสพารุ่นน้องในมหาลัยที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่เดียวกันไปเลี้ยงช่วงกลางวัน (ถือว่าเป็นเด็กที่โชคดีมาก เพราะปกติฉันค่อนข้างประหยัด สมถะ อดออม = งก) ระหว่างนั่งทานข้าว น้องๆถามแบบค่อนข้างกังวลว่าจะทำงานได้ไหม เห็นมีแต่พี่ๆที่ทำงานบ่นว่างานยาก งานหนัก อีกทั้งมีแต่คนขู่ (รวมทั้งฉัน) ว่าช่วงเข้ามาใหม่เป็นช่วงฮันนีมูน ต้องเก็บเกี่ยวความหฤหรรษ์ให้ได้มากที่สุดเพราะช่วงเวลาแบบนี้จะไม่มีอีกแล้ว

ฟังน้องแล้วฉันก็คิดว่าไม่อยากให้น้องท้อหรือคิดว่าเลือกผิดตั้งแต่เริ่มงาน เลยบอกน้องว่ามันก็มีข้อดีเหมือนกันนะไม่งั้นพี่จะยังอยู่ตรงนี้หรอ แล้วหันไปบอกเพื่อนว่าให้ช่วยลองคิดข้อดีของการทำงานเป็น consult กันเล่นๆ เผื่อจะเป็นกำลังใจให้น้องได้ แต่เพื่อไม่เป็นการโกหก พวกเราก็แถมข้อเสียให้ด้วย วันนี้ฉันเลยนึกสนุก รวบรวมข้อดีข้อเสียของการทำอาชีพนี้ ทั้งจากประสบการณ์ของตัวเอง 2 ปี ถามจากพี่ๆทั้งที่มีประสบการณ์ในวงการมานานกว่า และพี่ๆที่เพิ่งย้ายมาจาก corporate (ในวงการ consult จะเรียกอาชีพอื่นๆที่ไม่ใช่ consult ว่า corporate) ข้อดีข้อเสียเท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้

เริ่มด้วยสิ่งดีๆก่อนดีกว่า

ข้อดีของการเป็น consult

  1. ได้ทำงานอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลา
    ยิ่งถ้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่ ไม่ได้มีความถนัดหรือเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง จะถูกจับไปทำโปรเจคที่หลากหลาย อย่างฉัน ทำ consult มา 2 ปี โปรเจคที่ได้ทำแทบจะไม่ซ้ำเรื่อง หรือที่ซ้ำก็จะเปลี่ยน industry เช่น ธุรกิจธนาคาร เป็นธุรกิจขายปลีก ดังนั้นความรู้ที่ได้รับก็มหาศาลเช่นกัน
  2. ได้ฝึก skills หลายด้าน
    ฟัง พูด อ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ ครบถ้วน
    ฟัง  ต้องสรุปให้ได้ว่าประเด็นของการประชุมครั้งนี้อยู่ที่ตรงไหน ลูกค้าอยากได้อะไร แต่ละคนมี hidden agenda อะไรทำไมเค้าถึงพูดแบบนั้น (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ตัวฉันก็ยังทำไม่ได้ดี บางทีออกจากประชุมมาก็ยังงงว่าลูกค้าจะเอาอะไรกันแน่)
    พูด  อาชีพนี้จะฝึกให้เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง สรุปประเด็นได้ชัดเจน เพราะจะต้องพรีเซ็นต์ในที่ประชุม สัมภาษณ์ลูกค้า ทำ workshop ให้ลูกค้า ติดต่อประสานงานกับลูกค้าตลอดเวลา เพื่อนๆหลายๆคนคงเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า elevator test ซึ่งมีที่มาจากการจำลองสถานการณ์ที่ consult มีประชุมกับ CEO ในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ CEO ติดธุระกระทันหันต้องออกไปประชุมอีกทีหนึ่งด่วน CEO เลยบอกให้ consult ไปส่งเขาที่ชั้นล่างเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานที่กำลังจะพรีเซ็นต์ นั่นคือต้องพูดสรุปประเด็นเกี่ยวกับทั้งโปรเจคที่ทำมาหลายเดือนภายในเวลาไม่กี่วินาทีที่ลงลิฟต์กับ CEO (เรื่องนี้สามารถประยุกต์ใช้กับอาชีพอื่นได้ แต่เพื่อความสอดคล้องจึงยกตัวอย่างเป็น consult) ในความเป็นจริงอาจไม่ถึงระดับวินาที แต่ลูกค้าก็ไม่ได้มีเวลามานั่งอยู่กับเราทั้งวัน ซึ่งพอระดับสูงไปเรื่อยๆ เช่นการประชุมระดับ C-Suite เวลาพูดก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ต้องทำให้กระชับและรู้เรื่องที่สุด
    >  อ่าน อาชีพนี้ เนื่องจากต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เจอลูกค้าใหม่ๆตลอดเวลา ดังนั้นต้องอ่านเร็ว รู้ว่าจะอ่านตรงไหน จับประเด็นสำคัญให้เร็วที่สุด ฉันเห็นพี่ที่ทำ consult มานาน ชั่วโมงบินเยอะๆ บางที slides ที่ใช้พรีเซ็นต์ก็ไม่ได้เป็นคนทำ วันจะพรีเซ็นต์ให้ลูกค้าเขามาฟังฉันสรุปให้ฟังแล้วอ่าน slides อยู่ 15 นาทีก็สามารถพรีเซ็นต์ลูกค้าได้เหมือนทำเองกับมือ ทึ่งมาก
    >  เขียน เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันที่ต้องเขียนอีเมลไปหาลูกค้า ยังไม่รวมการเขียนรายงานเป็นหลายสิบหน้า บางทีถึงร้อย หลักการเดียวกับการสื่อสารขั้นพื้นฐานคือต้องเขียนในกระชับ รู้เรื่อง ห้ามเวิ่นเว้อเด็ดขาด โดยเฉพาะเขียนหาลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะเค้าจะไม่เสียเวลาอ่านอีเมลของเราแน่ๆ หลักการที่ฉันใช้เสมอ คือพยายามให้คนรับอีเมลรู้เรื่องตั้งแต่หัวข้อของอีเมล และในเนื้อความของอีเมลต้องบอก action ชัดเจน เช่นจะให้ผู้อ่านตอบกลับ (ภายในวันไหนถ้าระบุได้ควรระบุ) หรือเป็นการแจ้งให้ทราบเฉยๆ เป็นต้น
    >  คิดวิเคราะห์ เพราะงาน consult คือการแก้ปัญหา หน้าที่หลักคือการคิดสาเหตุเพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้ลูกค้า ดังนั้น skills นี้ถึงมีความสำคัญมาก คำถามพื้นฐานที่บางคนเคยเจอในการสัมภาษณ์คือการถามคำถามที่ฟังครั้งแรกอาจจะคิดว่า ใครมันจะไปรู้ฟะ เช่น ในประเทศไทยมีกางเกงทั้งหมดกี่ตัว หรือในกรุงเทพมีหลอดไฟทั้งหมดกี่ดวง คำถามนี่ไม่ได้ทดสอบความถูกต้อง แต่ทดสอบวิธีในการคิด เช่น ในกรุงเทพมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ครอบครัวหนึ่งมีประมาณ 4 คน ดังนั้นจะเหลือ 2.5 หลังคาเรือน ตีซะว่าไม่ว่าบ้านหรือคอนโดจะมีหลอดไฟประมาณ 25 ดวง ในกรุงเทพยังมีอาคารสำนักงานใหญ่ๆ อีก 100,000 หลัง บลาๆ สุดท้ายก็จะออกมาเป็นคำตอบที่การันตีว่าไม่ถูก แต่ได้แสดงว่าสามารถคิดวิเคราะห์ได้
    ซึ่ง skills เหล่านี้ บางอย่างไม่มีสอนที่ไหน ประสบการณ์เท่านั้นจะเป็นตัวสอนพวกเรา
  3. ได้ฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน
    ที่แน่นอนคือ อ่าน เขียน เพราะทุกอย่างทั้งอีเมล รายงาน เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าโชคดีได้อยู่ในโปรเจคที่มีชาวต่างชาติมาทำด้วย ก็จะได้ฝึกการฟังและพูดไปด้วย บางทีลูกค้าก็เป็นต่างชาติ ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการพรีเซ็นหรือพูดคุยก็มี ส่วนใหญ่คนทีทำ consult เกือบครึ่งจบจากเมืองนอกหรือเรียนอินเตอร์ ดังนั้นจะพบเห็นเหตุการณ์ที่มีคนจับกลุ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษเยี่ยง native speaker ในที่ทำงานได้บ่อยๆ แต่เราก็อย่าไปเสียความมั่นใจ ใส่สำเนียงกะเหรี่ยงได้เต็มที่ ไม่มีใครว่า 555
  4. ได้ทำงานกับคนเก่งมาก
    พูดได้เลยว่ากระบวนการคัดเลือกพนักงานมีหลายขั้นตอน เฟ้นแล้วเฟ้นอีก ทีฉันเข้ามาได้ อาจจะเป็นเพราะโชคช่วยส่วนหนึ่ง เพราะเพื่อนที่เข้ามารุ่นเดียวกันทุกคนต้องผ่านสัมภาษณ์กับพี่คนหนึ่งที่มาตรฐานสูงมาก แต่ฉันกลับได้สัมภาษณ์กลับพี่อีกคนหนึ่งที่ใจดีกว่า ฮา ดังนั้นไม่แปลกที่จะแวดล้อมไปด้วยคนเก่ง มีความสามารถ และเนื่องด้วยการทำงานจะเปลี่ยนโปรเจคและเปลี่ยนทีมทำงานไปเรื่อยๆ ดังนั้นก็จะได้สัมผัสคนเก่งหลากหลายรูปแบบ ฉันได้เรียนรู้มากมายจากพวกเขาเหล่านั้น ทั้งวิธีการทำงานและแนวคิดต่างๆ ซึ่งความรู้เหล่านี้แทนเป็นตัวเงินไม่ได้เลย
  5. ได้ติดต่อประสานงานกับลูกค้าตำแหน่งสูง
    การได้ไปนั่งอยู่ในการประชุมระดับ C-level (CEO, CIO, CFO, COO และอื่นๆ) ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม แรกๆอาจจะไม่ได้เป็นคนพรีเซนต์ มีหน้าทีจด note หรือแค่สังเกตการณ์ แต่เราจะได้อะไรมากมาย เช่น เห็นแนวคิดของคนระดับนี้ เห็นวิธีการตอบคำถาม CEO ของพี่ project manager (ซึ่งบางครั้งทึ่งมาก แอบคิดว่า คำถามโคตรยาก พี่คิดได้ไงเนี่ย เป็นหนูตายคาเวทีไปแล้ว)
  6. ลูกค้าให้เกียรติและเชื่อใจ
    ลูกค้าจะใช้คุณขึ้นต้นชื่อฉันทุกครั้ง และยิ่งเราทุ่มเททำงาน เขาจะยิ่งไว้ใจและเชื่อใจ เป็นอาชีพที่มีเกียรติพอตัวเลยทีเดียว (แต่ลูกค้าที่ดูถูกก็มี ต้องทำใจ)
  7. ไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้อง
    จากที่คุยกับพี่ที่เคยทำงานอยู่ corporate และที่เคยสัมผัสเองจากวัฒนธรรมองค์กรของลูกค้า ค้นพบว่า ใน corporate ส่วนใหญ่จะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำอะไรมากไม่ค่อยได้ ติดคนนู้นคนนี้ เงื่อนไขเต็มไปหมด แต่ที่นี่แทบไม่มี อาจเป็นเพราะไม่มีเวลาเล่นการเมืองในที่ทำงานกัน แทบไม่มีการจับเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ ยกเว้นจะทำงานด้วยกันบ่อยจริงๆ (ซึ่งน้อย)
  8. ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ
    เด็กจบใหม่ที่อาจมีปัญหาหรือข้อเสนอแนะอะไร สามารถเข้าไปเคาะประตูคุยกับ partner (หุ้นส่วนบริษัท เป็นตำแหน่งเกือบสูงสุด) ได้เลย เขาจะไม่ถือตัว หรือต้องคุยผ่านเลขาอะไรทำนองนั้น แต่เวลาของคนตำแหน่งจะมีค่ายิ่งกว่าทอง จะพูดคุยอะไรกับเขาควรจะคัดกรองเนื้อหาหรือคิดหาคำตอบไปก่อนด้วย อีกอย่างคือเขาฉลาดและผ่านโลกมามากจริงๆ ฉันแค่อ้าปากเขาก็เดาได้แล้วว่าจะพูดอะไร เห็นผ่านลิ้นไก่ไปถึงไส้ติ่ง
  9. รายได้และตำแหน่งขึ้นตามความสามารถ
    เก่งจริงคือได้ดี ทุกปีจะมีการประเมินพนักงานที่จริงจังมาก ทุกอย่างมีหลักฐาน สามารถวัดผลได้ ซึ่งผลที่ได้คือการเลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนขึ้น และโบนัส เคยคุยกับพี่ที่อยู่ corporate มาก่อน บางที่ทำดีหรือเก่งก็ไม่ต่าง เลื่อนตำแหน่งตามอายุงานอย่างเดียว ที่ consulting firm นอกจากจะไม่ promote ยังมีการ demote อีกด้วย ศักยภาพแย่ก็ลดตำแหน่งมันซะเลย
  10. มีสติสามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้
    สุดท้ายนี้คือผลพลอยได้จากการทำ consult เพราะอะไรๆก็ไม่แน่นอน อยู่ดีๆอาจมีปัญหาโผล่ขึ้นมา ลูกค้าโทรมาด่า ฉันเคยเจอแม้กระทั่งด่าตอนยืนพรีเซ็นต์อยู่ เรื่องแบบนี้ธรรมดามาก จะหล่อหลอมให้พวกเรามีสติ ไม่ตื่นตกใจ สามารถรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ดี

ข้อดีผ่านไป มาถึงข้อเสียกันบ้าง เพื่อความยุติธรรม

ข้อเสียของการเป็น consult

  1. work life balance เป็นคอนเซ็ปต์ที่เกิดจากการมโนขึ้นของผู้บริหาร
    ไม่มีทางเป็นจริงได้ในสาขาอาชีพนี้ ยิ่งถ้าทำหลายๆโปรเจคพร้อมกันไม่ต้องพูดถึง ชีวิตอาจบัดซบถึงขั้นสูงสุด ความรู้ความสามารถมันไม่ได้ได้มาเปล่าๆ พวกเราต้องแลกอะไรกลับไปบ้าง ดังนั้นการทำงานกลางคืนหรือเสาร์อาทิตย์เป็นเรื่องปกติ คนที่ใช้วันหยุดที่บริษัทให้มาไม่หมดมีเยอะแยะไป (แต่ไม่ใช่ฉัน 55) เคยโดนสั่งงานวันศุกร์เย็นเอาเช้าวันเสาร์ก็มี ดังนั้นจะไม่สามารถนัดเพื่อนล่วงหน้าได้เพราะเจ้านายหรือลูกค้าสามารถเกิดอาการพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอยู่ตลอดเวลา พวกเรามีหน้าที่เข้าใจ ทำใจ และทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
  2. เครียดและกดดันสุดๆ
    เหรียญมีสองด้าน ข้อดีเมื้อกี้มันก็สะท้อนกลับมาเป็นข้อเสียได้ เริ่มต้นจากการแวดล้อมไปด้วยคนเก่งๆอาจทำให้ดับได้ง่ายๆ ฉันเคยทำได้ดีในการเรียน มาทำงานในวงการนี้แสงแทบมอดสนิท เพราะเจอโคตรดาวฤกษ์ส่องแสงกลบ แต่มันก็ทำให้ฉันพยายามยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งลูกค้าจะคาดหวังกับพวกเราสูงมาก จะคิดจะพูดอะไรต้องมีที่มาที่ไปชัดเจน ต้องศึกษาหาความรู้เยอะมาก โค-ตะ-ระ จะเครียด บอกตรงๆ
  3. เสียสุขภาพ
    เนื่องจากไม่มีเวลาออกกำลังกาย กินข้าวไม่ตรงเวลา ทำงานหน้าคอมทั้งวัน ฉันป่วยบ่อยมากเมื่อเทียบกับตอนเรียน แถมยังปวดหัวบ่อย แย่จริง
  4. บุคลิกภาพต้องดี
    แต่งตัวดี เนื่องจากต้องติดต่อกับลูกค้าระดับผู้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา อย่าฝันถึงการใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปทำงาน ต้องมีความ professionalism ตลอดเวลา หน้าแต่งไม่เป็นต้องหัดแต่ง ผมเผ้าใช่ว่าจะทำสีไหนทรงอะไรก็ได้ สูทต้องเตรียมไว้พร้อม คว้าได้ตลอดเวลาเผื่อมีประชุมด่วน (อันกรณีพี่ๆ เด็กน้อยอาจไม่ต้องถึงขนาดนั้น) ต้องพยายามให้ดูน่าเชื่อถือด้วย แรกๆพี่ๆต้องไล่ให้ฉันไปแต่งตัวมาใหม่ เดี๋ยวนี้ทำได้ดีขึ้นจน  vendor อีกเจ้าคิดว่าอายุ 32 จากจริงๆ 23 (หรือหน้าแก่หว่า) เป็นเรื่องตลกที่บางครั้งก็ฮาไม่ออกเหมือนกัน
  5. out of comfort zone ตลอดเวลา
    บางทีก็เหนื่อย ตัวเราเหมือนยางยืด ต้องยืดบ้างผ่านบ้างมันถึงจะค่อยๆขยาย ยืดทีเดียวอาจขาดได้
  6. อาจได้งาน ได้โปรเจคไม่ตรงใจ
    อยากทำอย่างหนึ่ง แต่ดันได้ทำจริงๆอีกอย่าง เงิบเลย
  7. เพื่อนๆพี่ๆที่สนิทกันมีไม่มาก
    เพราะย้ายโปรเจค หมุนเวียนเปลี่ยนทีมทำงานไปเรื่อยๆ พี่ที่ทำงานด้วยช่องว่างระหว่างวัยก็มีเยอะ (ปกติคือ 10 ปีอัพ) จะมาคุยเล่นเหมือนเพื่อนก็ไม่ได้ (ไม่มีเวลาจะคุยเล่นด้วยส่วนหนึ่ง)
  8. ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น
    อ่านหนังสือสอบชิงทุน เรียนต่อภาคค่ำ หรือทำธุรกิจเป็นของตัวเองเป็นอะไรที่ยากมาก ต้องอาศัยพลังใจพลังกายเยอะ และต้องยอมรับว่าลูกค้าและงานต้องมาก่อน เรื่องอื่นทีหลัง (แล้วหล่อนเอาเวลาที่ไหนมาเขียนบล็อกมิทราบ 5555)

จะเห็นได้ว่าทุกงานทุกอาชีพมีข้อดีแล้วข้อเสีย ขึ้นอยู่กับใครอยากได้อะไรและยินดีจะเสียอะไรเพื่อได้สิ่งนั้นมา ใครที่งานหนักเหนื่อยอย่าเพิ่งท้อ คิดถึงข้อดีของงานที่เราทำเข้าไว้ ถึงไม่มีข้อดีเลย (อะไรจะเศร้าปานนั้น) ก็คิดถึงคนที่บ้านเข้าไว้เยอะๆนะจ้ะ

7 comments

  1. งานสูบวิญญาณ!!! >___<

    • โอ้ว บล็อกเกอร์ชื่อดังมาเยือน เป็นเกียรติจริงๆ อิอิ

  2. น้องเจนของพี่เขียนได้ฟีลลิ่งมาก แต่เทียบแล้ว ตั้งแต่ข้อเสียข้อแรก.. มาเต็มกว่าข้อดีเทียว 555
    ป.ล. อย่าไปแคร์ว่าใครจะมองเรา 32 เราสวย รวย เก่ง ซะอย่าง Always keep my fingers crossed to u ja 🙂

    • 555 อุตส่าห์เอาข้อดีมาบดบังแล้วนะเนี่ย อิอิ คิดถึงพี่น้า ขอให้พี่มีความสุขกับสิ่งที่ทำเหมือนกันค่ะ ><

  3. ขอบคุณที่แชร์นะ

    ได้ทั้งความรู้ในแง่ที่บอกว่าอาชีพนั้นคืออะไร และยังได้เรียนรู้ศัพท์ C-Suite , hidden Agenda,Elevator Test

    ของเราก็เหมือนกันนะ ได้เข้าไปทำงานเอกชนของต่างชาติแห่งหนึ่ง เรียกว่า corporate แบบเจนดีปะดูเท่ห์ดี 555

    เราก็ตกสัมภาษณ์เพราะภาษาอ่อน แต่ก็ฟลุคได้เข้าไปทำงาน เพราะมีคนสละสิทธิ์เยอะ

    ข้อดีของบริษัทชั้นนำต่างชาติก็คือ ได้ฝึกภาษาและได้เจอคนเก่งๆ ที่เก่งทั้งภาษาและความคิด การพูดการจา ได้เรียนรู้งานที่เป็นระบบ

    แต่ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็คงต้อง out ไปเอง 555 เพราะ บริษัทคาดหวังว่าภายหลังช่วงแรก หรือ ช่วงฮันนีมูนที่เจนว่าแหละ ว่าจากนั้นเราจะต้องทำงานและปรับตัวให้ได้เร็วที่สุด

    แต่ถ้าไหวแบบเจน เราว่ามันคุ้มมาก ได้อะไรหลายๆอย่าง แค่ไม่กี่ปีเราเชื่อเลยว่า ได้เยอะกว่า corporate ทั่วไปแน่ๆ

    เขียนเรื่อยๆนะ ชอบๆๆๆ ได้ความรู้มาก

    • สู้ๆจ้า พยายามอดทนเข้าไว้ เราเชื่อว่าถ้าผ่านมันไปได้จะได้อะไรเยอะ

      เราจะพยายามเข็นงานเขียนออกมาเรื่อยๆเท่าทีเวลาจะเอื้ออำนวย 555 ติดตามอ่านน้า มือใหม่หัดเขียนมีกำลังใจจริงๆ

  4. ได้ความรู้เพิ่มเกี่ยวกับอาชีพนี้เยอะเลยค่ะ สามารถเข้าใจได้มากเลย ขอบคุณที่มาบอกเล่าให้ฟังนะคะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*