สิงคโปร์ เป็นเกาะเล็กๆ ใหญ่กว่ากรุงเทพเล็กน้อย อยู่ทางใต้ของประเทศไทย อากาศร้อนสลับกับมีฝนตกทั้งปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเกลียดมาก แต่ถึงหลายๆอย่างจะไม่เป็นดังฝัน แต่ฉันดีใจมากที่ได้โอกาสนี้มา หลายคนอาจคิดว่า เพราะฉันทำงานในบริษัทข้ามชาติ มีสาขาในหลายๆประเทศ การที่จะได้ไปทำงานต่างประเทศ ยิ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ขนาดนี้ คงไม่ยากเย็นอะไรนัก
ฉันเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ตอนแรกๆที่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะตอนที่สัมภาษณ์งาน พี่ที่สัมภาษณ์ฉันบอกว่าโอกาสที่จะได้ทำงานต่างประเทศมีสูงมาก (สารภาพว่าพอได้ยินคำนี้แล้วไม่สนใจรอผลที่อื่นแล้ว เงินดงเงินเดือนก็ไม่ดู เซ็นสัญญาทันที) ยิ่งพอเข้ามา ได้รู้ว่ามีโครงการที่ชื่อว่า secondment เป็นโครงการที่ส่งพนักงานไปทำงานต่างประเทศเสมือนเป็นพนักงานของประเทศนั้นๆ เพื่อเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ฉันยิ่งมั่นใจว่า ยังไงฉันก็ต้องได้ไปทำงานต่างประเทศ
แต่พออยู่ไปถึงรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งลักษณะงาน consult จะเป็นงานที่ไม่ routine ต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำตลอดเวลา ทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องดี ต้องออกไปเจอลูกค้า present งาน สัมภาษณ์ ทำ workshop ต้องทำหลายโปรเจคในคราวเดียวกัน ขนาดใช้ภาษาไทยยังรู้สึกยากจนท้อ จินตนาการได้เลยว่าถ้าทำแบบนี้เป็นภาษาอังกฤษคงกระอักเลือดแน่ๆ ดังนั้นส่วนใหญ่คนที่บริษัทส่งไป secondment จะเป็นระดับ Assistant Manager (ผู้ช่วยผู้จัดการ) ขึ้นไป ต้องมั่นใจจริงๆว่าทำงานได้ ไม่ fail กลับมา
สิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดชีวิตคือ ไม่มีทางที่อยู่ดีๆโอกาสจะลอยมาหา เราต้องกล้าคว้ามันมาด้วยมือของเราเอง ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 2 ของการทำงาน ฉันจึงเดินไปเคาะประตูห้องคุยกับ Partner ทันที (ในบริษัท consult จะมีตำแหน่งที่เรียกว่า Partner แปลง่ายๆคือหุ้นส่วนบริษัท ถ้าในบริษัทธรรมดาคือระดับ C-Suite มีอำนาจตัดสินใจเกือบทุกเรื่องส่วนที่ตัวเองบริหารและถือหุ้นอยู่) จุดเริ่มต้นของโอกาสในครั้งนี้ คือบทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่คำ ระหว่างฉันและ Partner
ฉัน : พี่คะ หนูอยากไป secondment ที่นิวยอร์ก
Partner : (สวนกลับมาทันทีด้วยเสียงเรียบ) พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอทำได้
– จบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ –
บทเรียนที่ 1 เวลาเจอประโยคประเภทนี้จากหัวหน้า ขออย่าไปมองโลกในแง่ร้ายว่า เขากำลังดูถูก ปฏิเสธเรา และยอมแพ้ไป ความหมายมันขึ้นกับการแปลของเราเอง อย่างในกรณีนี้ “พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอทำได้” ฉันแปลได้ว่า “พิสูจน์ให้พี่ดูสิว่าเธอทำได้”
เสาร์อาทิตย์นั้น ฉันนั่งร่างแผนการพัฒนาตัวเองซึ่งมีระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วยทักษะทางการใช้ภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อจะพิสูจน์ว่า ฉันสามารถสื่อสารในสภาวะแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้จริงๆ จากนั้นฉันก็นัดคุยกับ Partner เพื่อเสนอแผนของตัวเอง
พี่ Partner กวาดสายตาดูแผนของฉันด้วยความเร็วสูง แล้วบอกว่าแผนนั้นใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย เช่น ในกรณีที่เป็น Writing Skills ฉันบอกว่าจะฝึกเขียน 1 ชั่วโมงต่อวัน แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเขียนได้ดีแล้ว
บทเรียนที่ 2 เวลาเสนอแผนงานอะไรซักอย่าง ต้องใช้สิ่งที่วัดผลได้ เพราะจริงๆแล้วอีกฝ่ายเขาไม่สนใจว่าเราฝึกซ้อมอย่างไร ใช้วิธีแบบไหน สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือ result ที่ได้มากกว่า เช่น ในกรณี Writing Skills ฉันบอกว่าฉันจะสามารถเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษได้ 1 บทความ กรณี Speaking Skills ฉันบอกว่าฉันจะสามารถพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษได้
บทเรียนที่ 3 ถึงโอกาสไม่มี เราก็ต้องสร้างมันด้วยตัวเอง พูดกันตรงๆว่า ฉันเป็นเด็กจบใหม่ ไม่ได้มีชื่อเสียง จะเอาปัญญาที่ไหนไปเขียนบทความภาษาอังกฤษลงหนังสือพิมพ์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอนเซ็ปต์ของ Big Data กำลังบูม ฉันเลยเล็งเห็นโอกาส เดินไปคุยกับพี่ Partner ว่าอยากเขียนบทความเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ พี่เขาเลยเสนอตัวเป็น co-writer ฉันเขียนแล้วพี่เป็นคน review พร้อมทั้งติดต่อกับหนังสือพิมพ์ให้เสร็จสรรพ ส่วนฉัน ใช้เวลา 2 อาทิตย์นั่งอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ Big Data ที่สามารถหาได้ทั้งหมด แล้วเขียนเป็นบทความขึ้นมา
แน่นอนว่าถูกพี่เขาแก้ไม่มีชิ้นดี แก้แล้วแก้อีก แก้จนมึน แต่บาง paragraph ก็มีภาษาของฉันอยู่ แล้วมันก็ได้ลงเป็นบทความจริงๆใน Bangkok Post ทั้งภูมิใจและทำเป้าหมายได้สำเร็จไป 1 ข้อ
บทเรียนที่ 4 เนื่องจาก Partner เป็นตำแหน่งที่ยุ่งมากๆ จนเวลาที่จะว่างคุยกับเราแทบไม่มี วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายมาก คือนัดกินข้าวหรือกินกาแฟ แล้วคุยไปด้วย กรณีฉัน จะปริ๊นท์แผนฉบับย่อไป หรือจดโน้ตสั้นๆไปกันลืมระหว่างคุย ที่สำคัญมากๆคือ การที่เราจะไปพูดคุยกับหัวหน้า เราจะต้องเรียบเรียงความคิดไปดีๆก่อน จะมาพูดวกไปวนมาไม่ได้ (ฉันเคยถูกไล่ให้กลับไปคิดใหม่มาแล้ว) พูดให้สั้น กระชับ ได้ใจความ และตรงประเด็น (เคยถูกถามระหว่างพูดอยู่เลยว่า “ประเด็นน้องอยู่ที่ไหนคะ”)
หนึ่งปีผ่านไป ฉันทำสำเร็จทุกข้อตามแผนงานที่วางไว้ แต่ฉันก็ยังไม่ได้ไป เพราะยังติดที่ไม่มีประสบการณ์จริงกับลูกค้าโดยตรง ช่วงนั้นมีหลายๆเสียงบอกว่าโอกาสที่จะได้ไปต่างประเทศของเด็กที่เริ่มทำงานไม่กี่ปีมีน้อยมาก ขนาดพี่ๆระดับสูงที่ได้ไปคือต้องเก่งผสมเฮงด้วย
บทเรียนที่ 5 คืออย่าไปท้อกับเสียงคนรอบข้าง เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะเราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ make the impossible possible จงมุ่งมั่นและเชื่อว่าเราทำได้ พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราทำได้ ฉันเสนอแผนใหม่กับพี่ Partner เพื่อพัฒนาตรงจุดที่ยังขาดอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประสบการณ์กับลูกค้าโดยตรง ปกติแล้วการทำงานมักจะทำเป็นโปรเจค โดยมี Project Manager เป็นคนดูแลในแต่ละโปรเจค สิ่งที่ฉันทำคือ เดินเข้าไปขอโอกาสในการพรีเซนต์งานจริง โอกาสการเขียนรายงานเอง โอกาสในการ lead การสัมภาษณ์และ workshop กับพี่ๆ Project Manager ซึ่งฉันก็โชคดีมากๆที่พี่ๆ Project Manager ให้โอกาสนั้นแก่ฉัน แต่สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมตัวที่ดีและการประเมินตัวเองอย่างไม่ลำเอียงว่าเราจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่พร้อมจริงๆก็จะทำให้งานพังไปด้วย เดือดร้อนคนอื่นอีก
บทเรียนที่ 6 อันนี้เป็นบทเรียนแทรก ฉันได้เรียนรู้จากพี่ Project Manager ที่เคยทำงานด้วยแล้วรู้สึกว่าเป็นบทเรียนที่ดีมากๆคือ อย่ากลัวที่จะผิด พี่เขาบอกว่า เรายังเป็นเด็กอยู่ อย่าได้กลัวที่จะทำอะไรที่เราไม่เคยทำ เพราะถ้าผิดตั้งแต่ตอนเป็นเต็ก ยังมีคนให้อภัย ให้โอกาส ฉันจำคำเขาได้แม่นมาก “ผิดตอนนี้ ดีกว่าโง่ตอนโต”
เกือบ 2 ปีผ่านไป ในที่สุดฉันก็ได้โอกาสได้เป็น candidate ในการไป secondment ณ ประเทศสิงคโปร์ เสมือนต้องสมัครงานใหม่ ฉันต้องทำ resume ใหม่ (โดยมีพี่ Partner ช่วย review) นัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ Partner ฝั่งสิงคโปร์ (โดยมีพี่ Partner โทรมาซ้อมให้) ติดต่อตามเรื่องจนกระทั่งได้มีการยืนยันว่าฉันได้ไป secondment
หลังจากนั้นทำสัญญา ขอ work permit หาที่พัก เก็บงานที่ทำค้างไว้ จนกระทั่งหลายๆอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ระหว่างนั้นต้องติดต่อกับ HR ถึง 6 คน ที่ไทย 2 ทางสิงคโปร์ 4 ลุ้นอยู่จนแทบขาดใจอยู่หลายช่วง ทั้งตอนรอผลสัมภาษณ์ ตอนรอสัญญา ตอนรออนุมัติ work permit
ดังนั้น โอกาสที่ได้มาถึงมีค่าสำหรับฉันมากๆ เพราะมันหมายถึงการพัฒนาตัวเอง พัฒนาภาษาอังกฤษ การได้ไปเห็นเปิดโลกทัศน์ เห็นการทำงาน เห็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของประเทศอื่น
จริงๆแล้วต้องบอกว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มาเจอพี่ Partner คนนี้ ที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ บทเรียนที่รวบรวมมาในวันนี้ เป็นบทเรียนที่เขาสอนทั้งทางตรงและทั้งอ้อม แม้บางครั้งจะแอบมีน้ำตาตกในบ้าง แต่มันทำให้ฉันเรียนรู้พัฒนาตัวเองได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันไม่ใช่คนเก่งโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมงานคนอื่น แต่สิ่งที่ทำให้ฉันได้โอกาสนี้มา คือความพยายามและความมุ่งมั่น (ที่มากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้) เวลาโดนปฎิเสธหรือโดน feedback แรงๆ อาจท้อได้ แต่ขอให้ลุกขึ้นมาสู้กับมัน อยากจะย้ำอีกทีก็คือ อย่าคิดว่าสิ่งที่เราหวังหรือฝันไว้เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นไปได้ make the impossible possible
สวดยอดเบยค่ะ สู้ๆนะคะคุณพี่ป้าเจน กิกิ ^w^
แต๊งกิ้วว สู้อยู่แล้วจ่ะคุณน้องลูกศร แต่ไม่เอาป้าได้ไหม
เก่งจริงอะไรจริง นับถือๆๆ ข้าน้อยขอคาราวะ
ขอบคุณค่ะ อุตส่าห์ติดตามกันมาตลอด ^^
ดีใจกับเจนด้วยน่ะ
ทำได้สำเร็จแล้ว^^
ตอนเรียนถ้าไม่ได้สรุป Math เจน เราก็คงมึนไปเหมือนกัน