ชีวิตต่างถิ่น ณ ดินแดนสิงคโปร์ : ฉันจะไม่ยอมโดนด่าฟรี! ปฏิบัติการต่อสู้ Negative Feedback

เป็น post ที่เกี่ยวกับงานอันแรกของปี (หลังจากมีแต่รีวิวท่องเที่ยวมานาน) คราวนี้รับรองว่าแซ่บบบบ ทั้งยังเป็นประสบการณ์ที่มีค่า เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของชีวิต

Background

ขอย้อนเวลากลับไปเล่าตั้งแต่ตอนช่วงกลางพฤศจิกายนของปีที่แล้ว ช่วงที่ฉันถูกปลดออกจากโปรเจคที่ทำอยู่และโชคดีที่หาโปรเจคใหม่มาเสียบต่อได้ทันท่วงทีได้ดั๊นนนนนนนนเป็นโปรเจคภายใน (internal project) ที่ไม่สามารถคิดเงินลูกค้าได้ นั่นแสดงว่าบริษัทจะได้กำไรไม่มากนัก เจ้านายจึงพยายามจะขายฉันให้กับแผนกอื่น (ห๊ะ พวกแกทำธุรกิจอะไรกันแน่ – ขายความสามารถนะคะ อย่าคิดลึกกกก) แต่ความสามารถก็ดันไม่ตรงกับที่เค้าต้องการซะงั้น เลยต้องอยู่โปรเจคเดิมต่อไป เกิดปัญหาการเมืองภายในมากมาย ถูกเจ้านายเหม็นขี้หน้าเพราะบังอาจไปทำงานให้กับเจ้านายคนอื่น บลาๆ

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่องที่เจ้านายเรียกเข้าห้องดำรับปีใหม่ แล้วให้  feedback มาแบบดีจริงๆ คือไม่มีชิ้นดีจริงๆ อีกทั้งโปรเจคใหม่ที่ได้มาก็หินซะจนแทบกระอัก เรียกว่าโดน manager ด่าน้ำตาซีมทุกวัน บางวัน 3 เวลาหลังอาหาร ทำงานภายในความกดดันวันล่ะ 10 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ บางวันมี 13-14 ชั่วโมง (ปกติจะทนได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ long hour, normal pressure ก็ normal hour,  high pressure กรุณาอย่ามา 2 อย่างพร้อมๆกัน กุงง) สดๆร้อนๆที่เพิ่งโดนมาคือเจ้านายให้ negative feedback แบบไม่ยั้งกลางห้องประเมิน เรียกได้ว่าไม่ต้องไปผุดไปเกิดกันทีเดียว บทเรียนนี้ได้มาด้วยเลือดและน้ำตา (เครียดจนเลือดกำเดาพุ่ง) จวบจนวันนี้มาเขียนแชร์ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าผ่านมันไปด้วยดี เพียงแต่ประสบการณ์ที่ได้มาทำให้ความคิดเริ่มตกตะกอน รู้สึกได้ถึงความคิดและทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงของตัวเอง จึงอยากนำมาแบ่งปัน เผื่อว่าใครกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้อยู่ จะได้ร่วมกันสู้ไปด้วยกัน พร้อมแล้ว FIGHT!!!!

หมัดที่  1 : อย่ามัวแต่อ้าง

โปรเจคปัจจุบันที่ทำอยู่คือ PMO (Programme Management Office) พูดง่ายๆคือทำอะไรยังไงก็ได้ให้โปรเจคมัน on track ไม่ล่าช้ากว่ากำหนด แน่นอนว่าเป็นโปรเจค PMO แรกที่ฉันได้ทำ แล้วมันก็หินนนนนนนนน เอามากๆ เพราะ stakeholder หรือคนที่เกี่ยวข้องในโปรเจคมีเป็นร้อย (อันนี้ไม่ได้เว่อร์ ร้อยจริงๆ) และครึ่งหนึ่งเป็นระดับ  global partner จากหลายๆประเทศ ซึ่งรู้ๆกันอยู่ว่าคนระดับนี้ จะพูดสั้นๆ ยุ่งๆไม่ค่อยมีเวลา เดินทางตลอด ไม่ค่อยได้เห็นตัว ถามมากไม่ได้ เปลี่ยนใจค่อนข้างไว เกิดไอเดีย(=งานงอก)ได้บ่อยมาก สั่งแล้วจะเอาเดี๋ยวนี้ โอ้ย สารพัด อิฉันซึ่งภาษาก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ต้องติดต่อประสานงานกับคนครึ่งโลก ทำงานด้วยสปีดไวปานนรกขนาดนั้น รู้สึกว่ากำลังไปขึ้นเขียงอยู่ทุกวัน ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นดาย ระหว่างเดินไปทำงานต้องสะกดจิตตัวเองอยู่เสมอว่าเราทำได้ ฉันต้องรอด ซ้ำๆ เป็นทำนองเสนาะ หรือไม่ก็เปิดเพลงฟังปลุกใจอยู่เรื่อยไป

  • ปัญหาแรกสุดที่เจอคือ งงไปหมด เวลามี task ใหม่ๆมาคือมึน มือสั่น เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่รู้จะติดต่อใคร จะถามเจ้านาย จนเจ้านายโมโห เพราะตัวเขาเองก็ยุ่ง ทุกคนยุ่ง เขาเลยให้ feedback มาสั้นๆว่า ไม่ independent ง่ายๆ คิดเองไม่เป็น ก็นะ จะบ้าหรือไง ยากจะตาย ทำก็ไม่เคยทำมาก่อน จะคาดหวังอะไรจากอิฉันนักหนา งง
  • ต่อมา ทำงานช้ากว่ากำหนด เสร็จไม่ทัน deadline โอ้ยยยยยยยยยยยย พันเจ็ดแปดสิบเอ็ดแสนอย่าง แมร่งงงงงงงงง ให้ตรูทำหมด แต่ละอย่างเต็มไปด้วยการติดต่อประสานงาน รายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยๆ แม้จะทำเกือบเสร็จ 99 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เสร็จเพราะติดว่าอีกฝ่ายไม่ให้ข้อมูลแล้วฉันก็ไม่รู้จะไปตามได้ที่ไหน ส่งอีเมลไปจน inbox มันจะพังแล้วมั้ง แถมยังอยู่คนละประเทศกัน หน้ายังไม่เคยเห็น คุณเธอจะเอาอะไรจากข้าพเจ้านักหนา
  • ยังไม่พอ จัดลำดับความสำคัญของงานไม่ถูก ตอนแรกนางบอกอันนี้ไม่รีบ เลยทำอีกอัน ตอนเย็นมาบอกว่าจะเอา แล้วก็โดนด่าเช็ดที่ไม่เสร็จอย่างใจ พอเถียงไปว่าไหนบอกไม่เอาวันนี้ เธอก็บอกว่าเจ้านายใหญ่เปลี่ยนใจแล้ว บลาๆ โอย ปวดหัว
  • สุดท้าย พอหลายอย่างเข้า เร่งมาก งานก็ออกมาผิด คราวนี้ฉิบหายทั้งทีม โดนด่าแบบ non-stop โดนไล่ออกจากห้องโปรเจค เรียกได้ว่าเครียดจนกลับมาอ้วกแตกกันเลยทีเดียว

ฟังๆมาแล้วเกิดความรู้สึกหนึ่งเหมือนฉันไหม คุณเมิงจะอ้างอะไรนักหนา ไอบ้าเจน โทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อมสถานการณ์รอบด้านอยู่ได้ ตัวเองหรือเปล่าที่สมควรต้องพิจารณาในเรื่องนี้ แบ่งเป็นเรื่องๆได้เลย

  • ทางแก้ปัญหาแรก คือปรับเปลี่ยนทัศนคติ อย่าเพิ่งไปคิดว่าทำไม่ได้ ยาก โง้นงี้ แล้วโอดครวญถามหา solution ก่อน แล้วงี้เค้าจะจ้างแกมาทำไม ถามหน่อย ค่อยๆตั้งสติ ลองไล่วิธีที่จะนำไปสู่จุดหมายที่เราต้องการ แล้วค่อยไปคอมเฟิร์มกับ manager ว่าเรามาถูกทางแล้วหรือไม่ ถ้าไม่หัดคิดแล้วเมื่อไหร่จะคิดเป็น
  • สอง เสร็จไม่ทัน deadline ถ้างานมันเยอะมาก ทำไมไม่คุยกับนายตรงๆ ทำไมปล่อยจนถึงวันสุดท้าย วันที่มันไม่เสร็จแล้วถึงบอกเขา อย่างน้อยจะได้หาคนอื่นมาเสริม delegate งานไปบ้าง สำหรับงานที่ขึ้นกับคนอื่น ต้องมีแผนสำรอง คิดให้ไกลๆว่าถ้าเขาไม่ร่วมมือ เราจะทำอะไรอีกได้บ้าง เพราะแม้จะเกือบเสร็จ แต่มันก็ถือว่าไม่เสร็จอยู่ดี
  • สาม ในเมื่อรู้ว่างานลักษณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ให้หมั่นสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่ manager เดินเข้าไปคุยกับนายใหญ่ พอเขาคุยกับจบ เราต้องถามด้วยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง อะไรจะเอาก่อนหลัง หรืออีกอย่างที่ทำได้คือเขียนขึ้นกระดานให้เห็นกันทั้งทีมไว้เลยว่าวันนี้อะไรเป็น priority อัพเดตกันแบบ real-time วันต่อวัน
  • สุดท้าย งานผิด โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่เร่งรีบจนผิดพลาด ไม่รอบคอบ ไม่ตรวจสอบให้ถ้วนถี่เพียงพอ ผลกระทบอาจไม่ใช่แค่ตัวเราเองแต่อาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย เสียทั้งชื่อเสียง เงิน และเวลา

หมัดที่ 2 ลงจากหอคอยงาช้าง

พูดไปก็อาย แต่ฉันเคยคิดและทะนงตน ว่าตัวเองนั้นฉล๊าดฉลาด เก๊งเก่ง เสียนี่กระไร ตั้งแต่เกิดมาเรียนก็ได้เกรดดีมาตลอด ทำงานที่เมืองไทยก็มีผลงานโดดเด่นมีคนชื่นชม พล็อตเรื่องมันมาขนาดนี้คงเดาไม่ยากว่าโดน negative feedback ครั้งแรกจะเป็นอย่างไร เอาสากมาตบหน้ากุเถอะ พูดกันขนาดนี้ (จริงๆก็ไม่ได้แรงมาก เขาแค่พูดตรงๆ) หนูไม่เชื่อ มันไม่จริ๊งงงงงงงงง ตื่น ลูก ตื่น เผชิญหน้ากับความจริง เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ฉันอ่ะสุดยอด negative feedback ทั้งหลายมันอคติทั้งน้าน คนอื่นมาทำก็คงได้แค่นี้หรือด้อยกว่า บ้าดิ หัดเปิดใจและเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พัฒนา แล้วจะรู้ว่า negative feedback ความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างประเมินค่าไม่ได้

หมัดที่ 3 วิเคราะห์ด้วยความเป็นกลาง

พอเลิกอ้าง เลิกคิดว่าตัวเองเก่งได้แล้ว ขั้นต่อไป คือการวิเคราะห์ feedback ที่ได้มาด้วยความเป็นกลาง อันจะนำไปสู่สาเหตุของปัญหาและทางแก้ไข อย่าลืมว่าเจ้านาย หรือใครก็แล้วแต่ที่ให้ feedback แก่เรา เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน มีรัก โลภ โกรธ หลง บ้างเป็นธรรมดา (ตกลงมันคือ post ธรรมมะ?) นั่นคือ feedback บางอย่าง อาจจะมาจากอคติบ้าง มาจากสาเหตุแวดล้อมจริงๆ เราต้องแยกแยะให้ออก ไม่ใช่บ้าแก้ไขมันไปซะทั้งหมด ยกตัวอย่าง negative feedback ที่ไร้สาระกันบ้าง เช่น เจ้านายใหญ่บอกว่า ฉันนั้นขี้เล่นและร่าเริงเกินไปจนเขาเป็นห่วงว่าจะกระทบกับคุณภาพของงาน = =^ ประสาทหรือเปล่า ไม่ชอบกันก็บอกได้ตรงๆ ให้ตรูมาทำงานแบบอมทุกข์หรือไง ห๊า หรืออยากให้แกล้งทำเป็นเคร่งเครียดทั้งวัน คือว่า เข้าใจอิฉันหน่อยนะคะ มาอยู่ต่างแดนก็ต้องสร้างมิตรภาพกันบ้างไหม เผื่อเดือดร้อนหรือมีคำถามคนเค้าจะได้เต็มใจให้ความช่วยเหลือ ก็ต้องยิ้มแย้มมีไมตรีจิตเป็นธรรมดา หลังๆฉันจดใส่ Ms  Excel มันเลย ใครจะลองเอาไปใช้บ้างไม่ว่ากัน

Capture

แต่ๆๆๆ แต่มีข้อแม้ว่า ก่อนจะสรุปว่า feedback ไหนมาจากความอคติ ต้องมี second opinion ก่อนนะแจ๊ะ หลายๆคนยิ่งดี ถามเพื่อนหรือเจ้านายคนอื่นว่าเราเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า (แต่บางทีก็ถามไปตรงๆไม่ได้ ฝึกวาทศิลป์เล็กน้อย)

หมัดสุดท้าย ทุกคนเกิดมาเพื่อเรียนรู้ อย่าท้อแท้

ถามว่าเวลาโดนคนอื่นตำหนิมากๆ โดนด่าหลายๆครั้งแล้วรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า ท้อแท้ บอกตรงๆ บางทีก็สงสัยว่า ตัวเราเองมันไร้ความสามารถได้ขนาดนี้เลยหรอ เครียด ที่ถ้าพอกลับไป อาจได้ชื่อว่าเป็นคนล้มเหลว พี่ partner ที่ส่งมาผิดหวัง พ่อแม่ผิดหวัง คนรอบข้างสมเพช บลาๆ ยิ่งฉันที่เชื่อมาตลอดว่าตัวเองมีดีอย่างเดียวที่สมองและความสามารถในการทำงาน ยิ่งเสียใจ เหมือนว่านี่ตกลงตรูมันไม่มีอะไรดีเลยสินะ โอ้ย ดราม่า หยุดๆๆๆ หยุดโดยด่วน คนเรามันก็ต้องมีจังหวะล้มกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะลุกขึ้นมาได้เร็วแค่ไหน พลิกวิกฤตเป็นสถานการณ์ในการเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน ยอมรับความผิดพลาดและก้าวต่อไปได้เร็วแค่ไหน ทุกครั้งที่ฉันท้อใจ ความคิดที่ช่วยฉันได้อยู่เสมอคือ ลองคิดดูสิ ถ้าเราอดทนและผ่านมันไปได้ กลับไทยไปหรือไปทำงานที่ไหนคงเป็นจอมยุทธ์ไร้เทียมทาน (แถมหนังหน้ายังทนทาน) ที่สามารถจัดการกับคำตำหนิได้อย่างมีสติและเป็นลำดับขั้นตอน เราจะแข็งแกร่งขึ้นอีกเท่าตัว

ที่เขียน post นี้ ถามว่าอายไหม แต่ก่อนคงอายมาก เพราะมันบ่อนทำลายภาพพจน์ superwoman ผู้เก่งกาจซะจนหมด แต่พอผ่านมาถึงจุดนี้ ความคิดที่ตกตะกอนได้สอนฉันให้ลุกขึ้น เงยหน้ายอมรับความจริง และพัฒนาต่อไป  หวังว่ามันคงจะให้ข้อคิดแก่เพื่อนๆไม่มากก็น้อยค่ะ

ขอทิ้งท้ายว่า อย่ายอมให้ใครมาว่าเราฟรีๆ เพราะคำตำหนิเหล่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะนำไปสู่การพัฒนาตนเอง 🙂

3 comments

  1. สุดยอดครับ กำลังจะทำ PMO ในองค์กรที่น่าจะโหดอยู่เหมือนกัน, ได้มาอ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย 🙂

  2. ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความดีๆ ได้ทั้งแนวทางทำงาน และ กำลังใจเยอะเลยค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*