KWEST to Alaska ทริปประหลาดที่ผู้ร่วมทริปไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้

KWEST (อ่านว่า เควส) ย่อมาจาก Kellogg Worldwide Experience and Service Trip เป็นกิจกรรมสำหรับนักเรียน MBA ของ Kellogg ที่กำลังจะเข้าไปเรียนในปีนั้นๆ โดยส่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณ 20-25 คน (รวมทั้ง significant others – แฟน สามี ภรรยา ลูกๆ หรือที่ Kellogg เรียกว่า Joint Venture หรือ JV) ให้ไปเที่ยวด้วยกันหนึ่งสัปดาห์ ณ สถานที่ต่างๆกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

แล้วเลือกสถานที่ที่จะไปยังไง?

กิจกรรมเกือบทุกอย่างของ Kellogg จะถูกจัดโดยนักเรียน (student-led activities) รวมถึง KWEST ด้วย นักเรียนปีสอง 5 คน จะรับหน้าที่เป็น KWEST Leader ในแต่ละทริป ร่างแผนการท่องเที่ยวเป็นข้อมูลให้นักเรียนใหม่อย่างเราๆเลือกสถานที่ที่อยากจะไป 10 อันดับเรียงจากมากไปน้อย

แต่ละทริปจะมีข้อมูลอย่างละเอียด รวมถึงการให้คะแนนในด้านต่างๆ เช่น Nighttime Activity (ปาร์ตี้โหดแค่ไหน), Level of Culture, Physical Exertion, Food, Free Time, Wake-up Time เวลาที่ใช้ในการบินไป บลาๆ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในแต่ละทริป ตัวอย่างข้างล่างคือข้อมูลของ KWEST Thailand (ขอบอกว่าประเทศเราดังนะจ้ะ มีทริปมาทุกปี) โดยมีค่าใช้จ่าย $3,954 หรือประมาณ 120,000 เท่านั้นเองงงง

นอกจากนั้น ยังมี KWEST แปลกๆ เช่น Amazing Race และ Mystery ที่ไม่บอกด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหนในโลก ซึ่งก็จะยากสำหรับนักเรียกไทยที่ถือ passport ไทยอย่างเรา เพราะหลายๆที่คนไทยต้องของ visa ก่อน โดยที่เค้าก็ให้เรารู้ไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน แง่ว

แล้วก็ส่งวันและเวลาที่ทุกคนจะต้องเข้าไป submit อันดับที่เลือกในระบบพร้อมกันทั่วโลก (โคตรยิ่งใหญ่เลย) อัลกอริธึ่มหลักๆคือ First Come First Serve แต่ก็ต้อง balance background ด้านอื่นๆ เช่น เพศ ประเทศของคนที่เข้าร่วม เป็นต้น ด้วยความที่กลัวจะไม่ได้ KWEST ที่อยากได้ เลยต้องมานั่งเฝ้าจอคอมรอเวลากันเลยทีเดียว

ใส่ 10 อันดับแรกที่อยากไปแล้วกด submit อย่างรวดเร็ว

ทริปที่ป๊อปปูล่าร์เช่น Brazil กับ Canary Island ก็เต็มกันภายในสามนาทีเลยจ้า

เหนือสิ่งอื่นใด ฉันได้ไป Alaska สมใจอยาก อิอิ

เตรียมตัวไป KWEST

ก่อนทริปจะเริ่มสองสัปดาห์ ก็มีอีเมลส่งมาจาก KWEST Leader เป็นตารางการท่องเที่ยว (ที่คร่าวมาก) และที่สำคัญคือ ตีมในการแต่งตัวในแต่ละวันที่ฉันอยากจะส่งอีเมลถามว่า ตกลงจะไปเที่ยวหรือไปปาร์ตี้คอสเพลย์กันแน่

จ้า ให้ใส่สีนีออนไปเดินป่า ธรรมดาที่ไหน

นี่ก็คือที่มาของมหกรรมการกระหน่ำซื้อของออนไลน์ผ่าน Amazon ในอาทิตย์นั้น แถมวันก่อนไปเพิ่งรู้ว่าอุณหภูมิบางสถานที่ที่จะไปดันติดลบ ร้ายกว่านั้นคือต้องยัดทั้งคอสตูม เสื้อกันหนาว ฮีตเทค และเสื้อที่จะใช้อีกเจ็ดวันให้เข้าไปอยู่ใน carry-on ใบเดียว Mission Impossible ของแท้

กฎสุดพิเศษของ KWEST

เนื่องจากไม่อยากให้มี bias และผลักดันให้คนรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง ข้อห้ามหนึ่งเดียวของ KWEST คือห้ามบอกว่า มาจากที่ไหน ทำอะไรมาก่อน เรียนในโปรแกรมอะไรของ Kellogg เป็นนักเรียนหรือ JV (บางคนเป็นคู่รักแต่ทำเป็นไม่รู้จักกันก็มี เรียกว่า secret couple) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลพื้นฐานที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาคุยกันในครั้งแรกที่เจอ พอคุยเรื่องนี้ไม่ได้ก็ต้องหาเรื่องอื่นมาคุย เช่น กิจกรรมยามว่าง อาหารที่ชอบ เพลงที่ชอบ ซึ่งเอาเข้าจริงคือยากชะมัด แต่ก็มีความสนุกในการเดาว่าแต่ละคนมาจากประเทศอะไร รวมถึงพยายามปิดบังว่าเราเป็นใครมาจากไหน พวกประเทศที่อยู่ใกล้ๆกันแค่มองตาฟังสำเนียงอีกหน่อยก็แทบจะกำหนดพิกัดได้เป๊ะๆ ส่วนชาวยุโรปที่มองเอเชียเหมือนๆกันไปหมดก็ได้แต่เดามั่วไปเรื่อย

KWEST Alaska

กิจกรรม

หลักๆที่เลือกไป Alaska เพราะว่าไม่ต้องขอ visa เพิ่มเติม (Alaska เป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา) และคะแนนการปาร์ตี้ไม่โหดมากนัก กิจกรรมก็ดูน่าสนใจไม่น้อย มีทั้งขับรถ ATV เดินป่า ดูสัตว์ ฟังนิทาน ล่องเรือ

[23 Aug] Pre-game

ก่อนจะขึ้นเครื่องบินไป Alaska กันจริงๆ ก็มีการนัดมาทำความรู้จักก่อน ให้ได้เห็นหน้าค่าตาและรู้จักชื่อของผู้ร่วมทริปทั้งหมด ฉันเพิ่งจะรู้ว่า Alaska (และ Hawii) เป็น KWEST ใหม่ ซึ่งปกติจะมีแต่นอกประเทศอเมริกาเท่านั้น

แม้จะเป็นทริปที่มีคะแนนปาร์ตี้ต่ำ แต่ก็ไม่วายไปต่อกันที่บาร์แม้จะต้องขึ้นรถไปสนามบิน 6 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น สมกับเป็นเด็ก Kellogg จริงๆ

[24 Aug] Flight to Anchorage & Tour of the city

นอนไปได้แค่ 3 ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาขึ้นเครื่อง เช็คอินแบบโจ่งแจ้งก็ไม่ได้ด้วยนะ เดี๋ยวเค้ารู้กันหมดว่ามาจากไหน ต้องแอบตะแคงเอา passport ส่งให้เจ้าหน้าที่

บินไปกับสายการบินนี้เลย Alaska Airline ชื่อเจาะจงมาก แบบกุบินไปที่นี่ที่เดียวพอ

อาหารมื้อแรกหากินเอาในสนามบินนั่นแหละ แม้จะแพงไปหน่อยแต่ก็ต้องตัดใจกินเพราะหิวมาก ตอนหลังต้องขอบคุณตัวเองจริงๆเพราะที่บินจะไป 7 ชั่วโมงนิดๆนั้น ไม่มีอะไรเสิร์ฟเลย (เพิ่งรู้ว่า domestic flight แม้จะไกลแค่ไหนก็ไม่มีอะไรให้กินนะจ้ะ)

บังเอิญได้ที่นั่งข้างๆน้องคนไทยที่ได้ทริปเดียวกัน ให้คุยภาษาอังกฤษก็กระดากปาก คุยไทยก็ไม่ได้ หลับแม่งเลย

หลังจากหลับๆตื่นๆมา 7 ชั่วโมง ก็เข้าสู่รัฐ Alaska ซักที่  หนาวแน่เลยยยย

ถึงแล้วจ้าา แต่ละคนดูโทรมไปไหม นี่เพิ่งเริ่มทริปเองนะ

ออกมาขึ้นรถแล้วก็เจอไกด์กับคนขับรถประจำทริปก่อนเลย อยู่ด้วยกันไปอีก 7 วัน

พวกเราแตกออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อสำรวจเมืองที่ใหญ่ที่สุดของ Alaska ที่ชื่อว่า Anchorage ไกด์เล่าว่าแต่ก่อนคนมากางเต้นท์ตั้งถิ่นฐาน ที่นี่เลยชื่อว่า Tentcity และเมื่อไม่นานมานี้ให้มีการโหวตเปลี่ยนชื่อ โดย Anchorage ชนะ Tentcity ไปแค่ 2 โหวตเท่านั้นเอง

ลองไส้กรอกเนื้อกวางเรนเดียร์เป็นอาหารกลางวัน พบว่าไม่ต่างอะไรจากเนื้อหมูเลย

มีตุ๊กตารัสเซียขายด้วย เพราะ Alaska เคยเป็นของรัสเซียมาก่อน ตอนนั้นรัสเซียคิดว่าแผนดินตรงนี้เป็นแค่พื้นที่น้ำแข็งว่างๆ เลยขายให้อเมริกา (ที่ตอนนั้นคิดว่าจะใช้เป็นฐานขยายการค้าไปเอเชีย) ในราคาแสนถูก 7.2 ล้านดอลลาร์ มีคนไม่เห็นด้วยกับการซื้อครั้งนี้จนมีการตั้งชื่อล้อเลียนเลขาธิการของอเมริกา William Seward ที่เจรจาการซื้อขายว่า Seward’s Icebox แต่เกือบ 30 ปีต่อมาได้มีการขุดพบทองคำและน้ำมันตามมา ทำให้ Alaska Purchase เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ คิดออกมาจริงๆคือเอเคอร์ละ 2 cent เท่านั้น

กินจนอิ่มหน่ำก็ได้เวลาไป hiking ย่อยอาหาร

เดินไปถึงจุดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุด 9.2 ริกเตอร์ในปี 1964 ที่เรียกกันว่า Good Friday Earthquake เนื่องจากเป็นวันศุกร์ คนออกไปอยู่ในโบสถ์กันหมด เลยทำให้มีคนตายน้อยมาก (ไม่นับความเสียหายกับบ้านเรือนและเมืองที่จมไปทั้งเมืองจากซึนามิ)

Alaska ขึ้นชื่อเรื่องของขับเครื่องบินเป็นพาหนะส่วนตัว เนื่องจากมี highway แค่เส้นเดียว แถมเมืองหลวง Juneau ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยการใช้รถยนต์ โดยมีนักบินเยอะเป็นอันดับต้นๆของประเทศ

สำหรับเครื่องบินที่จอดในน้ำแบบนี้ กว่าจะได้ที่จอดคือต้องมา register อยู่ใน waitlist กว่า 20 ปี โดยจ่ายเดือนล่ะ 25 เหรียญ คลองข้างหน้าก็ถูกขุดเป็น runway ให้เครื่องบินขึ้นลงด้วย โคตรเท่

หลังจากเข้าโรงแรมไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ได้เวลาไปกินข้าวและตะลุยบาร์ในอลาสก้ากัน

เตกิลาที่นี่คือช็อตหนึ่งเท่าสามช็อตปกติ กินแล้วต้องหาที่นั่งซักพัก

บาร์ที่สองที่ไป ไม่ทันไรก็ถูกระเห็จออกมา เนื่องจากเพื่อนไปพูดจาสามหาวใส่การ์ด ยังไม่ทันได้สั่งซักดริ้ง

บาร์ที่สามเป็นบาร์เต้น แนวเพลง EDM มากๆแต่ก็เมาๆมึนๆง่วงๆเต้นไป ตีสองบาร์ปิดเลยได้เวลาแยกย้ายกลับ เนื่องจาก Alaska ช้ากว่า Chicago อยู่ 3 ชั่วโมง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนไม่ได้นอนมา 24 ชั่วโมง ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน

[25 Aug] Bus ride to Denali & ATV & Bar scene

ถึงเมื่อวานจะดึกขนาดไหน วันนี้ก็ต้องแหกขี้ตาตื่นเพื่อนั่งรถบัสอีก 7 ชั่วโมงไป Denali National Park

แอบถ่ายรูปเหล่าคนไทย 3 คนที่บังเอิญได้ KWEST เดียวกัน

ระหว่างทางมีแวะเล่น ATV ตอนแรกก็แอบเฉยๆเพราะคิดว่ามันคงไม่ต่างจากที่เคยเล่นที่เขาใหญ่มาก แต่เห้ย วิวสวย อากาศดีเว่อร์ สนุกมากๆ

ขับๆไปก็เห็นมูสตัวเป็นๆด้วย

เป็นธรรมเนียมของทุก KWEST คือต้องต่อตัวกันเพื่อสร้างเป็นคำว่า KELLOGG ให้ได้ โดยแต่ละ KWEST จะต้องส่งภาพที่ดีที่สุดไปชิงรางวัล

ปิดด้วยรูปหมู่

ต่อไปเป็นการเข้าไปฟังบรรยายเกี่ยวกับ Denali National Park คือมันดีมากจนอยากสมัครเป็น Ranger ทำ summer internship ที่นี่  ที่เห็นเพื่อนใส่วิกเพราะเย็นนั้นเป็นตีมวิกจ้า

ต่อด้วยการไปบาร์สิ ของงี้มันแน่อยู่แล้ว

เป็นธรรมเนียมว่าทุก KWEST จะมีของบางสิ่ง เช่น กระดูกปลอม ช้อน (ของ KWEST เราเป็นช้อน) กฎคือถ้าใครถูกใส่ช้อนไปในแก้ว ก็ต้องหมดแก้วนะจ้ะ โดนไปหนึ่งที ยืนแทบไม่ตรง แต่พอหายเมาแล้วก็เอาช้อนไปแก้แค้นคนอื่นต่อได้

[26 Aug] Shuttle tour through Denali National Park & Campfire

ไม่ว่าจะเมาแค่ไหน ก็ต้องแหกขี้ตาตื่นมานั่งรถทัวร์ไปดูสัตว์ใน Denali National Park

เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าเจอมูส ให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเจอหมี ห้ามวิ่งหนีเด็ดขาด ให้ต่อตัวกัน โบกมือ ทำยังไงก็ได้ให้ดูตัวโตที่สุด และตะโกนพูดกับมัน

เลยถามเจ้าหน้าที่ว่า แล้วถ้าเจอให้มูสและหมีล่ะ…

6 ชั่วโมงที่อยู่บนบัส เห็นสัตว์อยู่ไม่ถึงสิบตัว แต่ให้อภัยได้เพราะวิวสวยอยู่ เอาเข้าจริงโอกาสมันก็น้อยอยู่ ในพื้นที่ 6 ล้านเอเคอร์ของ National Park มีมูสอยู่ 1,800 ตัว คาริบู 3,000 ตัว Dall Sheep 1,500 ตัว หมี 300 ตัว และหมาป่าเพียง 70 ตัวเท่านั้น

ความพยายามสร้างตัวอักษร Kellogg กลับมาอีกหน

กลับมาโรงแรมแล้วยังไม่หายซ่า ใช้เวลาช่วง free time ไป hiking กันต่อ ในใจคือโคตรอยากนอนพัก  แต่กลัวพลาดวิวสวยๆ  นี่สินะอาการ FOMO (Fear Of  Missing  Out)

วันนี้ละเว้นจากการไปบาร์เป็น Pajamas Party + Camping แทน มีนักเล่านิทานมาเล่าเรื่องให้ฟังด้วย (แต่ 70% คือฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ ศัพท์สูงเกิ๊น)

ย่างมาร์ชเมลโลกินกับช็อกโกแลต แอบไม่อร่อยอ่ะเมนูนี้

[27 Aug] Lake hike in Talkeetna & BIG REVEAL

เนื่องจากเมื่อคืนเว้นว่างจากการไปผับ เลยตื่นมาสดใส นั่งรถไป hiking ที่เมืองชื่อ Talkeetna

แวะกินข้าวกลางวันกันก่อน ขอนำเสนอเบอร์เกอร์คาริบู

เสริฟคู่กับเบียร์ท้องถิ่น Alaska ดีกรี 9.2% แก้วเดียวเกือบมึน

มึนแล้ว เอ้ย พร้อมแล้วก็ไปจ้า

เดินๆไปซักพัก เพื่อนกระโดดลงไปว่ายน้ำเฉยเลย เฮ้ย พวกเมิงเมาป่าว

มีการเก็บเบอร์รี่ป่ากินย้อมใจ ไม่ต้องกลัวตายเพราะทำประกันชีวิตไว้แล้ว (จริงๆไกด์บอกว่ากินได้)

นั่งรถต่อกลับมาที่ Anchorage เพื่อทำกิจกรรมที่ทุกคนรอคอย นั่นคือ BIG REVEAL คือการเฉลยว่าแต่ละคนเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรมา มีคู่รักมาด้วยในทริปหรือเปล่า

โดยก่อนหน้านี้มีการแบ่งไปกลุ่มเพื่อร่วมแรงกันเดาข้อมูลพวกนี้และส่งให้ KWEST Leader รวบรวม

แล้วก็เอาคำตอบมาให้เจ้าตัวอ่านก่อนจะเฉลยความจริง

หลังจากหมดข้อสงสัยใน Background ของแต่ละคนแล้ว ก็ไปบาร์กันต่อเหมือนเคย

ตัวฉันได้ลองเล่นกีฬาโยนปิงปองใส่แก้วเป็นครั้งแรก ยากค่อดๆ ยิ่งเมาๆด้วยแล้ว

กว่าจะได้กลับคืนนั้นก็ดึกมาก ฉันถึงกับสัญญากับตัวเองว่าคืนพรุ่งนี้จะไม่ FOMO และกลับไปนอนที่โรงแรมก่อนใครเพื่อน คอยดู

[28 Aug] Visit Exit Glacier & explore Seward

วันตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไปเมืองที่ชื่อว่า Seward เพื่อไปชมธารน้ำแข็งที่ชื่อว่า Exit Glacier

ขนาดว่าแวะเข้าห้องน้ำกลางทาง ก็ยังต้องสร้างตัวอักษร Kellogg อะไรมันจะรักโรงเรียนได้ขนาดนี้

ก่อนไปธารน้ำแข็งก็ต้องแวะกินปูยักษ์อลาสก้าสิ

เหลือแต่ซากปู

เดินไปไม่ไกลก็เห็น Glacier ความเศร้าคือจะมีการปักป้ายเป็นระยะว่า Glacier อยู่ตรงนี้เมือปี ค.ศ. ไหน เห็นได้ชัดว่าละลายหายไปค่อนข้างมากจาก 14 ปีที่แล้ว

ได้เวลาถ่ายรูปหมู่ (อีกแล้ว)

เนื่องจากวันนี้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะนอนเร็ว แต่ดันมีคาราโอเกะบาร์ซะได้ เลยกะว่าจะไปด้อมๆมองๆแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

จากที่จินตนาการไว้ว่าต้องเป็นห้องขนาดกลางแล้วเข้าไปร้องเพลงกัน ความจริงคือร้องกลางบาร์ได้ยินทั่วกันเลยจ้า มันส์ไปอีก

รู้ตัวอีกทีเกือบตีสอง เดินอีก 25 นาทีเพื่อกลับโรงแรม (เนื่องจากประชากรใน Seward มีอยู่แค่ 3,000 คน รวมแก๊งเราก็ 3,024 คน เลยไม่มี Uber นะจ้ะ) ถึงโรงแรมก็สร่างพอดี

[29 Aug] Boat day & Seward’s nightlife scene

ขึ้นเรือด้วยความหวังว่าจะเห็นปลาวาฬ ชื่อเรืออีกนิดนึงจะเป็นชื่อมหาลัยล่ะ Northwest(ern) ฮ่าๆ


4 ชั่วโมง ไม่เห็นแม้แต่ครีบ นั่งดูวิวไปเพลินๆแทน

กิจกรรมถัดไป ถ้าใครเดาไม่ได้คงแปลกมาก ไปบาร์จ่ะ เราต้องรู้จักทุกบาร์ใน Alaska ให้ได้

[30 Aug] Kayaking & Flight back to Chicago

วันนี้ตื่นเช้าที่สุดในทริป 7.30am คือล้อหมุน เปลี่ยนชุดเตรียมพร้อมคายัค

เรือคายัคเป็นแบบ 2 ที่นั่ง คนนั่งหน้าคอยบอกทาง คนนั่งหลังบังคับหางเสือ(ด้วยเท้า)

ถ่ายรูปหมู่กลางน้ำ เดิ้นไปอีก

พายจนแขนล้า ก็ได้เวลากลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปกินอาหารกลางวัน อันได้แก่ อาหารไทยจ้าาาา (ไปกินอาหารไทยถึงอลาสก้ากันเลยทีเดียว TT) รสชาตินั้นอย่าให้บอก หวานจนแสบไส้

ไกด์เห็นว่าพวกเราแทบจะไม่ได้เห็นสัตว์ประจำถิ่น Alaska เลยสนองนี้ดพาไปที่ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าระหว่างทางกลับไป Anchorage เพื่อไปสนามบิน

นัลล้ากกกกก

เป็นการจบทริป 7 วันแต่เพียงเท่านี้

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไป KWEST

ฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ KWEST จากรุ่นพี่จาก Kellogg หลายคน ถือเป็นทริปที่ดังมากและห้ามพลาด ถึงได้ตัดใจจ่ายเงินไปกว่า 130,000 บาท ในการไปทริปแค่ 7 วัน (ซึ่งถือว่าโคตรจะแพงสำหรับฉัน) แถมยังไม่รู้อีกตั้งหากว่าที่ไปมันจะสนุกจริงไหม จะเข้ากับเพื่อนได้หรือเปล่า บลาๆ

  • ที่ไม่เปิดเผย background ตั้งแต่แรก ช่วยให้ bond กันดีขึ้นหรือเปล่า?
    ก็อาจจะใช่ แต่ฉันว่ามันน้อยมาก เพราะสุดท้ายคนเราย่อมถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ หน้าตา/culture ในหลายๆครั้ง ถ้าหยุดสังเกตจะพบว่า คนอเมริกันก็จะคุยกันเอง และ international students ก็จะจับกลุ่มกันเอง โดยเฉพาะโซนเอเชีย ฉันที่มีปณิธานว่าจะออกจาก comfort zone ทุกวันเลยลองโยนตัวเองไปนั่งกลางกลุ่ม white dudes (ชาวคอเคเชียนเพศชาย) เป็นเวลา 6 ชั่วโมงในกิจกรรมหนึ่ง คือถามว่าสนุกไหม ตอบได้เลยว่าโคตรไม่สนุก เพราะแนวคิดต่างกัน ศัพท์ที่ใช้บางทีฉันก็ไม่เข้าใจ มุขตลกก็ไม่เห็นจะตลก แต่ก็รอดมาได้และได้สร้างมิตรภาพระดับหนึ่ง แค่ต้องลองดูว่ามันจะไปได้ไกล้แค่ไหน
  • Networking skills ที่ต้องพัฒนาอีกมาก
    มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึก insecure ในการเข้าไปอยู่ในบาร์และต้องจับกลุ่มทำ small talk (คือคุยเรื่องราวต่างๆเพื่อสร้างมิตรภาพ) บางทีก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่กลุ่มไหน บางทีเค้าคุยๆกันอยู่ก็ไม่รู้จะไปแทรกยังไง รู้สึก awkward และอับอายไปในขณะเดียวกัน ฉันพยายามสังเกตคนอเมริกันว่าเค้าทำกันยังไง ทริคคือต้องเลือกกลุ่มใหญ่ๆและมีช่องว่างให้เราไปยืนแทรกได้ ค่อยๆยืนฟังไปก่อนพอมีช่องว่างค่อย engage กับกลุ่ม คือพูดง่ายและทำให้เป็นธรรมชาตินั้นยากมาก หวังว่าฉันจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • Become “The Independent Jane”
    ตั้งแต่เด็กๆ ฉันโดน bully มาหลายรอบ แต่ละรอบเนื้อหาจะเหมือนกันคือเพื่อนไม่ชอบและพากันไม่คุยด้วยหรือนินทาลับหลัง มันทำให้ฉันในปัจจุบันมีปมลึกๆว่าคนอื่นจะไม่ชอบหรือเข้ากับคนอื่นไม่ได้ มาทริปในครั้งนี้ ประกอบกับได้ไปคุยกับน้องที่อยู่ด้วยกันเป็น roommate ตอนนี้ (ต้องขอบพระคุณน้องแจนอย่างสูง) ทำให้ฉันคิดได้สองอย่าง
    1) การที่อยู่คนเดียวหรือทำอะไรคนเดียว ไม่ได้แปลว่าคนอื่นไม่ชอบเรา (อาจจะดูเล็กน้อยไปหน่อย แต่ฉันรู้สึก insecure เรื่องแบบนี้จริงๆ): เช่น นั่งรถบัสเป็นคู่ ไม่มีคนมานั่งกับเราก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรังเกียจเรา พอดีว่าที่นั่งมันเหลือและมันสบายดีถ้าจะนั่งคนเดียว หรือเดินจับกลุ่มคุยกัน ก็ไม่จำเป็นต้องมีคนมาคุยด้วยตลอดเวลา ไม่มีอะไรทำก็มองนกมองฟ้าใช้เวลากับตัวเองไปก็ได้  ฉันเห็นคนอเมริกัน/ยุโรป สามารถทำอะไรคนเดียวได้แบบสบายๆ ไม่ต้องจับกลุ่มกันไปทำอะไร ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะคิดยังไง นี่แหละ คือ attitude ที่ฉันจะ aim ไป
    2) เป็นตัวเรา ไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อให้คนอื่นพอใจ แต่ปรับปรุงให้อยู่ในจุดที่พอดีสำหรับตัวเอง หลายๆครั้งที่ฉันได้ feedback ไม่ดี มีเพื่อนแสดงออกว่าไม่ชอบ (มากเท่ากับคนไทยคนอื่นๆ) หรือเพิ่งมีน้องมาบอกว่าพี่เจนดูเป็นคนซีเรียสมาก (จังหวะนั้นรู้สึกวาบเลย ชิบหายล่ะ สงสัยฉันคงสนุกสนานไม่พอ) แต่สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ว่า เราจะ fake ตัวตนไปก็คงไม่ได้ และตัวตนของเราก็จะคัดคนที่โอเคกับเรามาอยู่ใกล้ๆเราเอง
    ฉันมานั่งวิเคราะห์ดูแล้วพบว่า ฉันเป็นคนที่ take a stand คือไม่ค่อยยอมคนตามแบบฉบับที่คนเอเชียควรจะเป็นเท่าไหร่ (ไม่ได้หมายถึงสู้ยิบตา แต่คือ challenge idea ด้วยเหตุผล หรือถ้าโดนเอาเปรียบก็จะพยายามหนี ไม่ยอมอยู่ในจุดนั้น) และการตัดสินใจมาเรียน MBA ครั้งนี้ถือเป็น high-stakes decision ที่เท่ากับว่าฉันใช้เงินเก็บทั้งหมด บวกกับมีหนี้เพิ่มอีกเป็นล้านในวัยใกล้จะ 30 เลยอาจจะให้ดูรวมๆแล้วเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ดังนั้นที่ปรับปรุงได้คือวางความเครียดลงอีกนิดและ enjoy การมาเรียน MBA ให้มากขึ้น

ถามว่าคุ้มไหม ก็คุ้มนะ ไม่ได้สนุกมาก แต่ก็ได้ความกล้าเพิ่มขึ้น ได้ตกผลึกความคิดรู้จักตัวเองมากขึ้น และก็ได้หลายๆจุดให้มาพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกก้าว สู้ววววววววววว

6 comments

  1. ขอบคุณนะเจน ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ มีคนหลายคนได้ไปมา แต่ไม่เคยมาเล่าแบบเจน สุดยอดอะสุดยอดจริงๆ

  2. You can do it and I know you can 🙂

  3. เป็นกำลังใจให้นะครับ
    ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ อ่านสนุกมาก ได้กำลังใจด้วยครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*