ก่อนที่ฉันจะมาทำงานที่นี่ มีแต่คนบอกว่า “สิงคโปร์หรอ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ร้อนก็ร้อน แคบก็แคบ สถานที่ท่องเที่ยวก็มีแต่สิ่งปลูกสร้าง เที่ยววัน 2 วันหมด น่าเบื่อจะตาย” แต่เมื่อมาสัมผัสจริงๆแล้ว ฉันกลับค้นพบว่า สิงคโปร์มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิด และมีหลายๆอย่างที่ทำให้ประเทศนี้พัฒนาก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
post นี้เป็นความประทับใจอันดับแรกๆของฉันเมื่อได้มาใช้ชีวิตในประเทศเล็กๆที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย
1. สะอาดมากกกกกกกกกกกกกกกก
ถามว่าอะไรที่ประทับใจสุดๆแล้วในสิงคโปร์ คงหนีไม่พ้นเรื่องความสะอาด แทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นกันเลยทีเดียว สิ่งที่รัฐทำคือการปรับคนที่ทิ้งขยะไม่เป็นที่ อะไรที่เป็นสิ่งที่อาจก่อให้เกิดความสกปรกรำคาญใจก็แบนมันซะ เช่น หมากฝรั่ง จะไม่มีขายที่ไหนในสิงคโปร์ ต้องลักลอบนำเข้ามาเอง ดังนั้น ของฝากอันดับต้นๆของคนสิงคโปร์ที่ไปต่างประเทศก็คือหมากฝรั่งนั่นเอง ต้องแอบกินด้วยนะ 555 สิ่งที่เจริญหูเจริญตาอีกอย่างคือที่นี่ไม่มีร้านข้างถนนให้เกะกะทางเดิน นอกจากจะไม่สร้างขยะแล้วยังทำให้สามารถเดิน วิ่ง ออกกำลังกายได้สะดวกอีกด้วย นอกจากนั้น รัฐยังจ้างคนมาทำความสะอาดตามที่ต่างๆให้เนียบนิ้งอยู่เสมอ (ส่วนใหญ่จะเป็นคนแก่ ทำให้คนแก่มีรายได้ไปในตัว)
2. การคมนาคมที่โค-ตะ-ระจะเจ๋ง
พี่แกทำออกมาได้สุดๆ ครอบคลุมทั่วถึงแทบทั้งประเทศจริงๆ หากไม่นับการมีรถส่วนตัว เราสามารถเดินทางไปที่ต่างๆได้หลักๆ 3 วิธี
- รถไฟใต้ดิน หรือเรียกว่า MRT เหมือนบ้านเรา มีอยู่ 5 สาย (วิธีเรียก ที่นี่จะเรียกกันเป็นสี เช่น เขียว แดง เหลือง ม่วง น้ำเงิน) พันกันอิรุงตุงนัง บางสถานีก็เป็นจุดเชื่อม 3 สายเข้าด้วยกัน เดินมั่วเลยทีเดียว ช่วงระยะห่างระหว่างขบวนถือว่าค่อนข้างถี่ ในระหว่างชั่วโมงเร่งด่วนมาประมาณนาทีละขบวนหรือไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ช่วยแบ่งเบาปัญหาปลากระป๋องในรถไฟฟ้าไปได้เยอะ ใครที่จะมาท่องเที่ยวโปรดระวัง เพราะประตูที่นี่ปิดทีแรงไม่ใช่เล่น ใครโดนหนีบไปอาจจะถึงขนาดเขียวช้ำกระอักเลือดเลยก็เป็นได้ แถมรอดมาแล้วยังถูกบริภาษจากคนในขบวนโทษฐานทำให้ล่าช้า ดังนั้น ถ้าได้ยินสัญญาณประตูปิด (ปิ๊ดๆๆๆ) ไฟกระพริบปริ๊บๆ จงปลงและยืนรออยู่หน้าประตูพร้อมโบกมือบ๊ายบายให้กับคนในขบวน
- รถเมล์ จากเป็นคนที่เกลียดการขึ้นรถเมล์มากกกกตอนอยู่เมืองไทย (ร้อน รมควัน ช้า ขับเอาแน่เอานอนไม่ได้) ถึงตอนนี้ถามว่าให้เลือกขึ้นรถเมล์หรือ MRT ก็คงต้องตอบรถเมล์แน่นอน รถเมล์ที่นี่จะเป็นรถแอร์ทุกคัน มีหลากหลายรูปแบบ ชั้นเดียว สองชั้น สองตอน (ตอนมาแรกๆทึ่งมาก คือการเอารถ 2 คนมาต่อกัน -0-) ขึ้น-ลงคนละทาง (ขึ้นข้างหน้า ลงหลังรถ) ไม่ต้องมีกระเป๋าโดยสารถือกระบอกแก๊บๆประจำกายเก็บค่าโดยสารให้ยุ่งยาก เพราะสามารถใช้บัตรครอบจักรวาลที่จะกล่าวถึงถัดไป ติ๊ดจ่ายได้เลย หากไม่มีก็ต้องหาเศษให้พอดีจ่าย ไม่มีการทอน ไม่มีการจอดนอกป้าย ไปโบกนอกป้ายอาจจะถูกคนขับด่าด้วยสายตาโดยที่เฮียแกก็ไม่จอดให้ด้วย ที่เจ๋งที่สุดคือเราสามารถโหลด app หาเส้นทางและบอกเวลาที่รถจะมายังป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ๆได้ บางป้ายที่อยู่ในเมืองหน่อย ก็จะมีป้ายตารางเวลาอิเล็กทรอนิกส์ให้ ซึ่งเวลาก็คำนวณได้ค่อนข้างตรงพอสมควร เดาว่าเป็นเพราะ 1) รถไม่ติดกะเวลาได้ง่าย 2) อาจมีการติด GPS ที่รถเมล์ทุกคัน แต่จะดีกว่านี้ขึ้นไปอีกถ้ามีชื่อสถานีต่อไป (เคยเห็นในฮ่องกง หลักแหลมมาก ส่วนที่สิงคโปร์บางคันก็ทำแล้ว)
- รถแท็กซี่ แม้จะเป็นรูปแบบการเดินทางที่ฉันใช้เป็นแบบแรก (เพราะมากับกระเป๋าเดินทางใบเป้งที่หนักกว่า 42 กิโล) แต่ฉันก็ไม่นิยมนัก ออกจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ปฏิเสธไม่ได้หลังเที่ยงคืนและก่อนหกโมง (เพราะตัวเลือกอื่นหยุดให้บริการกันหมด) หรือเมื่อไม่มีแรงเดินและหลงทาง 555 หลักการขึ้นแท็กซี่ง่ายๆคืออย่าขึ้นลีมูซีนเด็ดขาด (คันยาวๆดำๆ ห้ามเด็ดขาด อาจล้มละลายได้) เบนซ์ยังถือว่าแพงแบบโอเค (อันนี้เพื่อนบอกมา แต่อย่าไปขึ้นเลย เสี่ยงหมดตัว) ส่วนแบบอื่นๆ จะเริ่มต้นที่ประมาณ 3-3.50 sgd (อย่าลืม x 26 นะเจ้าคะ) หลังห้าโมงบวกอีก 25% หลังเที่ยงคืนบวกอีก 50% ของค่าโดยสาร ให้สังเกตอีกอย่างคือ ถ้านั่งข้ามเขตมาถนนที่เขียนว่า ERP ถูกบวกเพิ่มอีกนะคะ ถือเป็นค่าใช้ถนนใจกลางเมือง = =^
3. บัตรโดยสารครอบจักรวาล
หรือบัตร Ez-link ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเป็นปัจจัยที่หกรองจากโทรศัพท์ ถ้าลืมไว้บ้านอาจจะเงิบได้ เพราะเราสามารถใช้เจ้านี่ได้กับการโดยสารเกือบทุกอย่างทั้ง MRT ทุกสารแม้คนละเจ้าของ รถเมล์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนสลับบัตรไปมาให้ยุ่งยาก (ขอให้ประเทศไทยรวม BTS กับ MRT ได้ซักทีเถิด) ราคาที่จ่ายโดยบัตรจะถูกกว่าจ่ายเป็นเงินสด นอกจากนั้นบัตรนี้ยังสามารถใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อต่างๆได้อีกด้วย
4. เป็นระเบียบและปลอดภัย
เพราะกฎระเบียบเคร่งครัดมาก ปรับมันทุกสิ่ง ไม่ใช่เงินน้อยๆด้วย เช่น เอาทุเรียนไปกินในที่ห้ามกินอาจโดน 500 sgd หรือข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางม้าลายอาจะโดน 400 sgd ได้ แม้แต่คนสิงคโปร์ยังเล่นมุกบ่อยๆว่า My country is a fine country (ไม่ใช่ประเทศที่สบายดี แต่เป็นประเทศแห่งการปรับ) ซึ่งแม้จะต้องใช้ชีวิตด้วยความระวังขึ้นมาหน่อยแต่ก็ถือว่าจำเป็นจริงๆสำหรับประเทศที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันแบบนี้ นอกจากความเป็นระเบียบแล้ว ประเทศนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย อัตราการก่ออาชญากรรมต่ำมาก เปิดหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไม่เคยเห็นข่าวปล้น ชิง วิ่ง ราว เพื่อนชาวสิงคโปร์บอกว่าโทษประหารยังมีอยู่ หากว่าฆ่าคนหรือข่มขื่นไม่ต้องติดคุกตลอดชีวิตก็ถูกประหาร ดังนั้นการเดินทางมืดๆคนเดียว 4-5 ทุ่มถือว่ายังปลอดภัยอยู่ (อยู่เมืองไทยไม่กล้าทำแน่ๆ) แต่ขึ้นกับย่านด้วย ถ้าเป็น Little India หรือ Keylang ก็ไม่ควร โดยเฉพาะผู้หญิง นอกจากนี้อัตราอุบัติเหตุยังต่ำมากอีกด้าย เพราะกฎจราจรพี่แกยังเคร่งครัดมาก ข้ามถนนที่ทางม้าลายเท่านั้น (ถนนใหญ่จะมีสัญญาณให้) รถเมล์แท็กซี่ต้องจอดเป็นที่เท่านั้น (เคยบ้านนอกมาแล้ว ไปโบกแท็กซี่นอกจุดจอด นอกจากแท็กซี่ไม่จอดแล้ว ยังเป็นที่เวทนาของคนท้องถิ่นอีกด้วย TT) อีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจมากคือ เคยไปยืนรอข้ามถนนที่ทางม้าลาย รถที่มาอย่างเร็วจอดให้ข้ามเฉย (คือไม่ชิน ปกติที่ไทยเดี๊ยนกะเองตลอด) ที่นี่เราสามารถเดินนวยนาดลงไปในทางม้าลายเลยโดยไม่ต้องสนใจรถ แต่ต้องเป็นทางม้าลายที่ทำไฟกระพริบๆสองข้างถนนเท่านั้น ถ้าทางม้าลายเล็กๆก็ต้องให้รถเป็นใหญ่กว่า
ป.ล. ไม่ค่อยเห็นตำรวจเท่าไหร่ ไม่เคยเห็นการตั้งด่านหรือแอบซุ่มตามหัวมุมถนน
5. รถไม่ติด
ขนาดชั่วโมงเร่งด่วนยังถือว่าไหลได้เรื่อยๆ (ทดลองมาแล้ว 60 km/hr ไม่นับไฟแดง) การที่รถติดครึ่งชั่วโมงนี่แทบเป็นไปไม่ได้ในสิงคโปร์ เนื่องจากรัฐบาลจำกัดจำนวนรถอย่างเข้มงวดมาก นอกจากจะต้องซื้อรถด้วยภาษีอันมหาศาลแล้ว ยังต้องมีสิ่งที่เรียกว่า COE (Certificate Of Entitlement) เกิดขึ้น ถึงจะสามารถซื้อรถที่ขับมาได้ เจ้าใบนี้จะถูกปล่อยออกมาโดยรัฐ ให้ประมูลกันเป็นเดือนไป เช่น เดือนนี้ปล่อยออกมา 5,000 ใบ มีอายุ 10 ปี ผูกติดกับตัวรถ สมมติว่าใช้รถไปแล้ว 5 ปีจะขายต่อคือต้องขายใบนี้ไปด้วยในราคาหักค่าเสื่อม ไม่สามารถเก็บไว้ไปใช้กับรถที่จะซื้อใหม่ได้ นอกจากนั้นยังมีค่า ERP ECP (ค่าใช้ถนนในเมือง) และค่าที่จอดรถ ทำให้การมีรถเป็นสิ่งที่แพงมว๊ากกกกก แต่นั่นทำให้เกิดข้อดีหลายอย่าง คือเป็นการส่งเสริมให้คนใช้รถโดยสารสาธารณะมากขึ้น อากาศดีมาก หายใจได้คล่องกว่าในกรุงเทพอย่าง อีกอย่างที่เจ๋งสุดๆคือ ที่จอดรถทุกที่จะมีป้ายบอกว่าขณะนี้มีที่ว่างให้จอดเหลือที่เท่าไหร่ ที่จอดที่ popular มากๆก็จะได้เกียรติขึ้นบอร์ดติดประกาศทั่วเมือง ทำให้คนไม่ต้องไปวนดูที่จอดรถ ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมันไปอีกโข
FYI ที่นี่ปั๊มน้ำมันน้อยมาก คิดว่าคนที่มีรถต้องวางแผนดีมากๆว่าน้ำมันจะหมดเมื่อไหร่ เติมที่ไหนอย่างไร
6. สามารถออกกำลังกายได้ทุกแห่งหน
เห็นได้เลยว่ารัฐบาลส่งเสริมให้คนออกกำลังกาย สังเกตได้จากทำทางเดิน + วิ่ง + ขี่จักรยานไว้ทั่วเมือง ขอบอกว่าทั่วเมืองจริงๆ ประกอบกับห้ามร้านรวงเปิดขายข้างทาง (นอกจะ ไม่จำเป็นต้องไปสวนสาธารณะเพื่อไปวิ่ง หรือเสียเงินไปฟิตเนส สามารถวิ่งได้จากบันไดบ้านได้เลย ชาวสิงคโปร์ก็รักการออกกำลังกายมาก ถึงขนาดพกเสื้อผ้าไปวิ่งหลังเลิกงาน บางบริษัทก็มีห้องให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เวลาไปวิ่งไม่ว่าจะตอนไหน วันธรรมดา วันเสาร์ อาทิตย์ ไม่ต้องกลัวเหงาเพราะจะมีเพื่อนวิ่งด้วยเป็นขโยง เป็นสิ่งที่ฉันมีความสุขที่สุดแล้ว ได้ออกกำลังกาย + อากาศดี สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
7. สวนสาธารณะและต้นไม้เยอะมาก
เชื่อไหมว่าแม้สิงคโปร์จะอยู่ทางตอนใต้ของไทย และใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่า แต่ฉันรู้สึกว่าเย็นกว่ามากเพราะเขียวไปเกือบทั้งประเทศจริงๆ และต้นไม้ก็ไม่มีต้นเล็กๆ คาดว่าน่าจะถูกปลูกมาพร้อมกับก่อตั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งสวนสาธารณะสวยๆที่แทบมีอยู่ทุกที นอกจากจะร่มรื่นแล้วยังช่วยให้อากาศดีอีกนะเออ
8. ไร้สิ่งรบกวนและก่อให้เกิดโรค
ยุง แมลงสาบ แมลงวัน มด สุนัขและแมวจรจัด ได้ถูกรัฐควบคุมไว้ทั้งหมดแล้ว ที่นี่จัดการเรื่องยุงอย่างเข้มงวดจริงๆ บ้านที่มีน้ำขังและเป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุงจะโดนปรับ ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะต้องถูกรายงาน และจัดเขตที่เราอยู่เป็นเขตสุ่มเสี่ยง สามารถเข้าไปตรวจเช็คว่าเขตไหนเป็นเขตสุ่มเสี่ยง มีคนเป็นไข้เลือดออกกี่เคส ในเว็บไซต์ได้ (มีเว็บไซต์เป็นจริงเป็นจังมาก) แมลงสาบเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้น้อยเช่นกัน คาดว่าเป็นผลต่อเนื่องมาจากความสะอาด สุนัขและแมวจรจัดนี่ยังไม่เคยเห็น (แม้เพื่อนชาวสิงคโปร์จะบอกว่ามี) สิ่งที่ดีคือไม่มีกับระเบิด (อึ๊) ให้ต้องเดินระวัง คิดสภาพยิ่งสิงคโปร์เป็นเมืองที่ฝนตกบ่อย -> น้ำนอง -> ขี้หมาไหล T^T แมลงวันกับมดก็ยังไม่เคยพบเห็นซักตัวในระยะเวลาเดือนหนึ่งที่อยู่มา
ไม่เคยเถียงว่าสิงคโปร์เล็ก แคบ ที่เที่ยวน้อย แต่ทึ่งจริงๆกับการที่ได้เห็นประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งที่ไม่มีทรัพยากรอะไร พัฒนาได้จนถึงขนาดนี้ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่ไม่รักหรือดูถูกเมืองไทย แต่อยากให้พวกเรามองเหตุผลของสิ่งที่ทำให้เค้าไปได้ไกลขนาดนี้แล้วมาประยุกต์ใช้กับบ้านเมืองเรา เพราะถ้าเทียบศักยภาพ ทรัพยากรแล้ว บ้านเราต้องสู้ได้ หรือไปได้ไกลกว่าอยู่แล้ว เนอะ