AUSTRALIA Road Trip ขับรถตะลุยถิ่นจิงโจ้ EP2

สำหรับ EP2 เรามาต่อกันที่ Day 4 – Day 6 ค่ะ ใครยังไม่ได้อ่าน EP แรก
ขอเรียนเชิญ https://wp.me/p6REJW-1aO

Day 1 12-13/04 โบยบินสู่ Sydney บินจากกรุงเทพไป Sydney และเที่ยวชมในเมือง Sydney
Day 2 14/04 กลับสู่ป่าเขาที่ Blue Mountain ท่องภูเขา ชมน้ำตก
Day 3 15/04 The Grand Pacific Drive ขับเลียบทะเล ชมความแกรนด์ของมหาสมุทร Pacific
Day 4 16/04 ขับมุ่งหน้าลงใต้ ไปดูแสงสุดท้าย Philip Island ตะบี้ตะบันขับกันต่อ ห้าร้อยกว่ากิโลที่ต้องฝ่าฝันไป
Day 5 17/04 ชิดใกล้ Wildlife ที่ Philip Island ไปส่องสัตว์ป่าที่บ้านเราไม่มี อาทิ จิงโจ้ โคอาล่า แกะ เพนกวิน
Day 6 18/04 Once in a lifetime…Skydiving โบยบิน 15,000 ฟุตเหนือน้ำทะเล ท้าทายกับความกลัวที่สุดในชีวิต
Day 7 19/04 The Great Ocean Road ทะเลที่สวยกว่าในจินตนาการ
Day 8 20/04 Sovereign Hill ครั้งหนึ่งฉันเคยขุดทอง ชมประวัติความเป็นมาและวิธีการขุดทองในยุค ‘ตื่นทอง’
Day 9 21/04 ลาจากที่ Melbourne มีหนึ่งวันต้องเก็บให้ครบ เดินให้ไขมันสั่นกันไปข้างหนึ่ง

 

Day 4 (16/04) ขับมุ่งหน้าลงใต้ ไปดูแสงสุดท้าย Philip Island

ตื่นเช้ามา กินข้าวเสร็จ ก็ออกไปชื่นชมนกแก้วป่าที่ลุง David ล่อลวงมา

ลุง David วาดแผนที่ให้ขับไปดูจิงโจ้แถวบ้าน แต่ขับไปแล้วมันเข้าไปหลบแดดอยู่ซะลึก ต้องใช้กล้องส่องเอา การเห็นจิงโจ้ครั้งแรกของฉ้านน

Eden Lookout and Rotary Park
ก่อนขับยาวๆก็มีแวะไปดูวิวแถวนั้นนิดส์นึง ป้ายเขียนว่าช่วงหน้าหนาวมี killer whale แต่ตอนนี้มีแค่ทะเลฟ้าๆอย่างเดียว จินตนาการถึงวาฬเอาเอง

อุบัติเหตุกับรถเช่า
ขับรถยาวๆ อีกกว่า 550 กิโล รีบทำเวลาเพื่อไปดูแสงสุดท้ายที่เกาะ Philip Island ให้ได้ เกาะ Philip Island เป็นเกาะเล็กๆอยู่ใกล้ Melbourne เต็มไปด้วย Wildlife และมีน้องเพนกวินเป็นตัวชูโรง ฉัน…สาวสวยผู้รักสัตว์โลก (แหวะ) ก็ต้องตามไปดูตามระเบียบ ยิ่งเข้าใกล้ Philip Island ยิ่งเจอน้องวัว น้องแกะ ขึ้นเยอะเรื่อยๆ

วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฝนตกตลอดบ่าย ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีนักเลยต้องเปลี่ยนให้คุณสำลีขับ

ระหว่างกำลังแหกปากร้องเพลงด้วยความบันเทิงใจระหว่างดูฝูงวัวระหว่างทางก็มีเสียง เปรี้ยง! ดังมาก แล้วก็พบรูขนาดใหญ่อยู่ที่กระจกหน้า เอิ่ม Shift หายแล้ว

แต่ด้วยสัญชาติญาณช่างภาพ ก็ขับต่อไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยจิตใจหวั่นไหวคู่กับฟ้าที่ยังมืครึ้มและลมพัดแรง แอบเปิดเพลงเศร้าๆให้เข้ากับบรรยากาศด้วย (เพื่อออออออ)

Cape Woolamai & The Pinnacles
ในที่สุดพวกเราก็พาจิตใจที่ยังบอบบางอยู่มาถึง The Pinnacles ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะ Philip Island แถวนี้คลื่นแรงฝรั่งนิยมมาเล่นเซิร์ฟบอร์ดกัน แต่วันนี้ลมโคตรแรง คลื่นก็เลยแรงมากจนแม้กระทั่งร้านเช่าเซิร์ฟบอร์ดยังปิด

แม้ฝนจะหยุดตกแล้วแต่ฟ้าก็ยังมืดครึ้ม ไม่มีวี่แววที่จะเห็นพระอาทิตย์ตกและลำแสงอันสวยงามอย่างที่จิตนาการไว้ ผู้คนโหร่งเหรง นอกจากฉันและสำลี ก็ยังมีอีกหนึ่งคู่รักซึ่งรถติดหล่มทรายอยู่และพยายามจะขึ้นมาโดยมีนักท่องเที่ยวอีกคณะพยายามช่วยอยู่ เนื่องจากตอนที่เรามาถึงก็เป็นเวลา 30 นาทีก่อนพระอาทิตย์ตก เราต้องเดินอีก 30-40 นาทีกว่าจะถึงจุดถ่ายภาพ ประกอบกับลำบากลำบนเร่งขับรถมากว่า 7 ชั่วโมง พวกเราเลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวไปถ่ายรูปก่อนแล้วกลับมาช่วย (เลวมาก!)

ระหว่างเค้าตะเกียกตะกายขึ้นจากหล่มอยู่ คนไร้น้ำใจสองคนก็เร่งเดินไปศึกษาแผนที่

ขณะที่เดินกันออกมายังมีหน้าไปถามคุณสำลีว่า “ระหว่างรถติดหล่มกับหินกระแทกกระจก นายเลือกแบบไหน” คุณสำลีตอบกลับหน้าตาเฉยว่า “รถติดหล่มสิ มันยังแก้ไขได้โดยรถไม่บุบสลาย กระจกเป็นรูนี่ทำไงอ่ะ” นั่นสินะ ทำไง แอบจิตตกเล็กๆนะเนี่ย

บรรยากาศลมที่พัดแรง หนาวจนฉี่หด เมฆอึมครึม ไร้มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ หลอนจนอยากจะหันหลังวิ่งกลับไปช่วยรถติดหล่มที่ลานจอดรถมาก แต่หันไปเห็นแววตามุ่งมุั่นของช่างภาพเลยต้องไปต่อ ฮืออออ กลัววว

คลื่นก็ซัดฟรึ้มๆ ลมพัดจนจะปลิว โหดไปหน๋ายย แค่อยากจะไปถ่ายซันเซตตตตต

เงยหน้าขึ้นไปเห็นนกนางนวลบินต้านลมอยู่ ลมแรงจนบินไม่ไปอ่ะ สงสาร (บางทีมันอาจจะสนุกอยู่ก็ได้)

เดินข้ามชายหาดไปจนเห็นขั้นบันได ที่ในแผนที่เรียกซะหรูว่า The Magic Step แต่ในความรู้สึกคือ magic มาก เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่าตรูไม่ได้มาผิดทาง

ขึ้นบันไดไปแล้วมีทางต้องเดินต่ออีกยาวไกล

ระหว่างนั้นมีตัว Wallaby ป่า รูปร่างหน้าตาคล้ายจิงโจ้แต่ตัวเล็กกว่า (แต่ตอนนั้นยังเข้าใจว่าเป็นจิงโจ้อยู่นะ) กระโดดเหยงๆ ไปมา จะมีอารมณ์ชื่นชมอีกมากถ้าบรรยากาศไม่ได้หลอนขนาดนี้

พอเดินไปใกล้ๆแหลม เหมือนสวรรค์ได้ยินคำวิงวอน ดวงอาทิตย์โผล่มานิดส์นุง โอ้ย ดีใจ รีบถลาวิ่งต้านลมไปที่จุดถ่ายรูปทันที


คุณสำลีเสียอกเสียใจใหญ่ที่ตอนนี้เค้าห้ามลงไปถ่ายภาพข้างล่างแล้ว (แกไม่เห็นคลื่นซัดเข้าฝั่งหรอนั่น หินยังผุอ่ะเห็นม้าย ยังจะลงไปอี้ก) ได้แต่ฉุดรั้งช่างภาพที่ได้คืบจะเอาศอก พอเพียงหนอ แค่นี้ก็สวยแล้วหนอ

ถ่ายเสร็จก็เดินกลับมันแบบมืดๆนี่ล่ะ น่ากลัวชะมัด ถึงที่จอดรถก็พบว่ารถติดหล่มไม่อยู่แล้ว ว่าจะกลับมาช่วยซักหน่อย แต่ก็ดีใจที่เค้าแก้สถานการณ์ได้ในที่สุด

คุณสำลีพร่ำเพ้อว่าอยากจะไปถ่ายช้าง (ทางช้างเผือก) ที่ Kitty Miller Bay รู้สึกว่ามีเรือล่มอยู่ แต่ดูสภาพฟ้าแล้วคงจะเห็นแต่เมฆก็เลยถอนใจ ล้มเลิกแผนนี้ไป

[Airbnb] บ้านลุง Vic กะป้า Deb ที่ Philip Island
ก่อนเข้าที่พักก็ขับไปหาอะไรกิน ณ ย่านใจกลางเมือง Cowes (เมืองใหญ่สุดในเกาะ Philip Island) โหววว เดี่ยวนะ นี่ป้าช้าหรือย่านการค้า ไม่ถึงหนึ่งทุ่มร้านรวงปิดหมด เหลือ Subway เปิดอยู่ร้านเดียว หาของกินยากยิ่งนัก

ขับรถไปที่พักวันนี้ชื่อว่า บ้านลุง Vic กะป้า Deb คนออสซี่ถือว่าเป็น Host ที่ดี ต่างกับอเมริกาลิบลับ เป็นเกือบทุกบ้าน ต้องอยู่ต้อนรับ พาไปแนะนำห้องหับด้วยตัวเอง อยู่คุย (ด้วยสำเนียงที่ฟังยากโคตร พูดภาษาอังกฤษกันอยู่หรือเปล่า ฮัลโหล) อีกสักพัก ถึงจะได้ฤกษ์ปล่อยไปนอน เราสอยที่นี่มาด้วยราคา 1935.76 บาท ได้มาหนึ่งห้องนอนมีห้องน้ำในตัว ไมโครเวฟ ตู้เย็นเล็กๆ และชุดจานชามพร้อม ไม่โอ่อ่าเหมือนที่พักเมื่อวานแต่ก็ถือว่าสุขสบายดี ที่นี่ไม่มีเครื่องซักผ้า แต่ก็ทดแทนกันแบบสมน้ำสมเนื้อด้วย Netflix ฟรี นั่งดูหนังจนหลับไปเลย

เหนื่อยจนลืมถ่ายบ้านลุงกะป้า เข้าไปดูบรรยากาศที่พักในลิงค์นะคะ ตามนั้นทุกกประการ
https://www.airbnb.com/rooms/17560212

 

Day 5 (17/04) ชิดใกล้ Wildlife ที่ Philip Island

กิจกรรมภาคบังคับของการมาออสเตรเลียคือการไปสวนสัตว์ เอ้ย บินมาตั้งไกล ไม่งั้นไปเขาดินไม่ดีกว่าหรอ แต่เดี๋ยวก่อน โปรดอย่าลืมว่ามากกว่า 80% ของสัตว์และพืชในออสเตรเลียไม่เหมือนที่อื่นๆของโลก ทั้งนี้เพราะที่อื่นๆแต่ก่อนครั้ง Ice Age เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันที่เรียกว่า ‘แพนเจีย’ แต่ออสเตรเลียอยู่โดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน สัตว์ทั้งหลายเลยมีวิวัฒนาการแตกต่างออกไป โปรแกรมในวันนี้ของเราคือการไปดูสัตว์แปลกๆทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เก็บให้หมดครบทุกสปีชีส์

The Nobbies Centre
ฟ้าขมุกขมัวไม่เป็นใจแต่เช้าเลยยกเลิกการไปถ่าย sun rise (จริงๆความขี้เกียจนำมาซัก 80% ล่ะ) เก็บของร่ำลาลุงกะป้าเสร็จแล้วตั้งใจไปสวนสัตว์ Phillip Island Wildlife Park ที่อยู่ไม่ไกลแต่มันปิดแฮะ ใจหายวูบนึกว่าอากาศไม่ดีเลยไม่เปิด น้องโจ้ของเพ่ แต่คุณสำลีบอกว่าใจเย็น ขับไปดูใกล้ๆป้าย เค้าบอกเปิด 10 โมง ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเลยตัดสินใจไปที่ The Nobbies Centre ก่อน ดูน้องแมวน้ำ มะงึกๆอุ๋งๆ

ระหว่างทางไปเจอนกปากเหลืองที่ชอบอยู่เป็นคู่ เป็นนกอะไรไม่รู้ แต่แปลกดี ไม่เคยเห็น

ไปยืนงงอะไรอยู่กลางถนนลู้กกกก

มี boardwalk ให้เดินสั้นๆ 1.2 กิโล เดินเถอะ วิวสวย แค่พยายามระวังงูก็พอ เดี๋ยวนะ!

ไปถึงส่อง Seal Rock ก่อนเลย ไม่รู้ว่าก้อนไหนแต่ไม่เห็นมีแมวน้ำอยู่ข้างบนซักก้อน สงสัยยังหลับกันอยู่ ดีที่เคยดูมาแล้วที่อเมริกาเลยไม่ได้เสียดายมาก มีทัวร์นั่งเรือไปดูด้วย ราคามหาโหดราวๆ 80 AUD (2,000 บาทเลยนะขุ่นพี่ สองพันนน) ถ้ามาเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมก็จะมีปลาวาฬด้วย โอ้ย เสียดาย อยากเห็นนนน

วิวสวยอ่ะ ให้อารมณ์ Iceland ในหนังเรื่อง Walter Mitty

แค่ยืนดูคลื่นกระทบโขดหินก็ฟินแล้ว

ขากลับไปสวนสัตว์ก็แวะซื้อบัตรดูเพนกวินข้ามชายหายคืนนี้ซักหน่อยที่ Penguin Parade ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก The Nobbies Centre นัก ไปซื้อเนิ่นๆนะคะ เดี๋ยวบัตรหมด คนละ 26 AUD เท่านั้นเอ๊งงง (เพนกวินน้อย ทำไมแพงจุง)

เดี๋ยวเจอกันคืนนี้ ซ้อมท่าไว้ก่อน

มีแอบขับไปหลบมุมดูเค้าเซิร์ฟ ไม่หนาวกันหร้ออออ

Phillip Island Wildlife Park
สนุกและคุ้มค่ากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มานี่ถือว่าพลาดมาก ค่าเข้าราคามิตรภาพ 19 AUD พร้อมอาหารสัตว์หนึ่งถุง ที่สามารถให้สัตว์ได้แทบทุกตัวในสวนสัตว์ (ยกเว้นที่มีป้ายติดห้ามให้อาหารจริงๆ) พวกเราใช้เวลาอยู่ข้างในสามชั่วโมงครึ่ง เพลินมากมาย

ต่อไปนี้จะเป็นการรีวิว Wildlife รัวๆ แนะนำว่าให้เดินวนขวา จะไต่ระดับความตื่นเต้น/สนุก ไปจากน้อยๆจนพีคสุดเมื่อถึงกรงจิงโจ้

Wallaby
อ้าว คล้ายๆกับตัวเมื่อวานเลยเห้ย ตกลงมันไม่ใช่จิงโจ้หรอกฤา Wallaby พบเจอได้ที่ออสเตรเลียกับนิวกีนีเท่านั้น มีอยู่หลายสายพันธุ์มาก ที่สวนสัตว์นี่ก็ปาไป 5 สายพันธ์ เอาจริงแยกไม่ออก รู้แต่มีตัวเล็กมากกกอยู่ในกรง กับตัวเล็กเดินเพ่นพานอยู่ทั่วสวนสัตว์ มากินอาหารจากมือ น่าร๊ากก

Koala
หมีน้อยข้างกล่องช็อกโกแลตที่นอนได้ 18-20 ชั่วโมงต่อวัน อ่านรีวิวมาเยอะ ไม่มีใครเจอแบบตื่นอยู่เลย ขอไม่หวังอะไรมาก เจอซักตัวก็เป็นบุญตาล่ะ

เห้ย ไอ้เจ้าก้อนนั่นขี้เกียจไปป่าว หันหลังหลับใส่งี้ได้ไง


พยายามมองหาในกรงไปเรื่อยๆ คุณสำลีก็สะกิดยิกๆว่า “เธ้ออออออว์ ตัวนั้นตื่นอยู่” ตื่นเต้นระดับ max โอ้ยยย เป็นบุญของอิเจนที่ได้เห็นหน้าตาน่ารักของน้องล่า เอิ่ม จะบอกว่าไงดี หน้าเหมือนคนเมายานอนหลับอ่ะ มึนขั้นสุด

Echidna
ตัวอัลลายยยย เม่นหรออออ เสิร์ชอากู๋อยู่ซักพักก็ได้ความว่าเป็น ‘ตัวกินมดหนาม’ หนึ่งในสองชนิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เหลืออยู่บนโลกที่ออกลูกเป็นไข่ (อีกชนิดคือตุ่นปากเป็ด เสียดายมากหาไม่เจอ) พบเจอได้ที่ออสเตรเลียและนิวกีนีเท่านั้น

Two-Wattled Cassowary
ตอนแรกนึกว่านกกระจอกเทศ แต่ที่แท้มันคือนกแคสโซแวรีที่พบอยู่แค่ซีกโลกใต้เท่านั้น เป็นนกที่มีเสียงร้องที่ต่ำที่สุดในโลก มีขนเหมือนเส้นผม ไปยืนเล่นอยู่ตั้งนานเพิ่งจะมารู้ว่าเจ้าตัวนี้จัดเป็นนกที่มีอันตรายที่สุดในโลก สามารถกระโดดถีบด้วยกรงเล็กที่แหลมคมด้วยความเร็ว 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งเร็ว 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ว่ายน้ำได้อีกตั้งหาก (เป็นนักไตรกีฬาหรือไร)

Grey Goshawk
เหยี่ยวชนิดหนึ่งที่พบได้ที่ออสเตรเลีย มีสีเทากับขาว (ตอนแรกก็งงว่า Grey แต่ทำไมตัวจอมหยิ่งในกรงนี่ขาวจั๊ว) ถ้าเป็นสีขาวจะถือว่าเป็นนกนักล่าที่มีสีขาวเพียงหนึ่งเดียวของโลก หน้าตาจองหองมากกกก

Wombat
เห้ย นึกว่าหมู โคตรน่ารัก นางเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระเป๋าหน้าท้องไว้หอบลูก รัฐบาลออสเตรเลียเคยให้วอมแบทกับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550 ตอนนี้อยู่เขาดิน เออ เชื่อมสัมพันธ์กันแบบนี้ เจ๋งดี แต่ทำไมนางไม่ดังเท่าแพนด้าอ่ะ ออกจะน่าเอ็นดูปานนี้

Tasmania Devil
เห็นชื่อก็น่าเกรงขามแล้ว เป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายและถือว่าเป็นสัตว์ที่มีกรามขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับขนาดตัว จัดเป็นสัตว์ใกล้จะสูญพันธ์เนื่องจากโรคระบาด หากไม่สามารถคิดค้นหาวิธีรักษาได้ แทสเมเนียนเดวิลจะสูญพันธุ์ภายในปี ค.ศ. 2035

Kangaroo
น้องโจ้ของพี่ ใครอยากสัมผัสจิงโจ้อย่างใกล้ชิด ที่นี่จัดให้อยู่ในกรงเปิด ในสวนสัตว์นี้มีอยู่สองสายพันธุ์ Grey Kangaroo ตัวสีเทา และ Red Kangaroo ตัวสีออกน้ำตาลแดง

Grey Kangaroo นี่จะเป็นจิงโจ้ที่ Aggressive หน่อยๆ ค่อนข้าง active เหมือนชีวิตแร้นแค้นต้องแย่งชิงอาหาร เวลาป้อนอาหารมันจะใช้กรงเล็บคว้าหมับมายึดมือเราไว้ทันที ยิ่งวันนี้พวกเราไปไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เหมือนฝูงมาเฟียกระโดดมา ผวามาก


หลายตัวมีลูกน้อยห้อยอยู่ที่กระเป๋าหน้าท้อง


Red Kangaroo จะเป็นจิงโจ้ผู้ดี มีบางตัวที่หิวก็จะเดินมากินอย่างเรียบร้อย ส่วนใหญ่อิ่มแล้วก็แค่ปรายตามอง สายพันธุ์นี้เล่นกล้ามอกด้วย น้องกินเวย์มาหรอคะ

Emu
สัตว์ท้องถิ่นของออสเตรเลีย ความใหญ่เป็นรองแค่นกกระจอกเทศ นิสัยตะกละมาก เห็นคนที่มายืนรอหน้ากรง ใครจะให้อาหารนกอีมูห้ามยื่นให้กินในถุง เพราะน้องมูจะขโมยไปเลยทั้งถุง ทำมือให้แบนๆ เดี๋ยวโดนจิก และสุดท้าย ทำใจให้กล้าๆเข้าไว้

อื่นๆ
สัตว์ตัวอื่นๆน่ารักๆก็พบได้มากมายในสวนสัตว์นะคะ

เป็ดน้อยคอยใจ


black swan


นกฮูกที่เหล่มองมา

Churchchill Island
หลังจากหลุดออกมาจากสวนสัตว์ได้ในที่สุด ก็ถือเวลาไปสถานที่ถัดไป นั่นคือ ฟาร์มปศุสัตว์ ที่ตั้งอยู่ที่ Philip Island แห่งนี้

ค่าเข้า Churchchill Island อยู่ที่ 13 AUD ต่อคน ถ้าจะเอาให้คุ้มควรจะไปตั้งแต่บ่ายต้นๆ เช็คตารางกิจกรรมตามนี้ https://www.penguins.org.au/attractions/churchill-island/activities/ พวกเราไปถึงก็เกือบบ่ายสาม กิจกรรมเค้าเดินไปครึ่งทางแล้ว

Whip Cracking
สอนวิธีการใช้แส้ให้มีเสียงดัง ถ้าใครอยากลองก็สามารถออกไปหวดกับเค้าได้

Working Dogs
สาธิตการใช้สุนัขต้อนแกะ สุนัขหนึ่งตัวสามารถต้อนได้ถึง 400-500 ตัว (เท่ากับทดแทนกำลังคนได้ถึง 4-5 คน แถมไม่ต้องให้เงินเดือนและสวัสดิการอีกด้วย) พันธุ์ของสุนัขที่ใช้คือพันธุ์ที่มีความ active สูง คือถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงก็จะไปกัดรองเท้า โซฟา เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จนเจ้าของปวดหัว ราคาสุนัขตัวหนึ่งก็ 12,000 AUD หรือ 300,000 THB อกอีแป้นจะแตก แพงมว๊าก


แกะที่โดนไล่ก็ฉลาดนะจ้ะ พวกนางแสดงมาหลายครั้งแล้วรู้ว่าถ้าวิ่งไปที่คอกแล้วโชว์จะจบ ก็เลยพยายามวิ่งไปที่คอกมีแกะแสบตัวหนึ่งแกล้งตาย คือตอนแรกนึกว่าโดนแกะตัวอื่นเหยียบ เปล่า นางเหนื่อยจะวิ่งแล้วเลยทำเป็นตายแม่ม เจ้าหน้าที่ต้องไปจับให้ยืนขึ้นมา

Sheep Shearing
สาธิตการตัดขนแกะ ซึ่งปกติจะโดนตัดตัวละ 1 ครั้งต่อปี จะมีทีมไล่ตัดไปตั้งแต่เกาะ Tasmania ที่อยู่ล่างสุด ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ มิน่า ที่ขับผ่านมานี่โกร๋นเรียบ นักตัดจะได้เงินตัวล่ะ 3 AUD ถ้าเก่งๆหน่อยก็ตัดได้มากกว่า 100 ตัวต่อวัน คิดเป็นวันล่ะอย่างน้อย 7,500 บาท ทำงานแค่ 8 ชั่วโมง ลาออกมาตัดขนแกะดีกว่าไหมเนี่ยยย

ม้าที่นี่ตัวอย่างใหญ่ ไว้ผมทรงเกาหลีเสียด้วย โคตรหล่อ


ขับรถออกมาหน้าฟาร์ม พยายามหา Highland Cow หรือน้องวัวหล่อถ่าย แต่ก็หันหลังให้หมดเลย ชิชะ

Penguin Parade
หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ก็ขับรถเข้าย่าน downtown เมือง Cowes ไปซื้อพิซซ่ามาหนึ่งถาดประทังชีวิต

แล้วรีบขับไปที่ศูนย์ Penguin Parade ที่ซื้อบัตรไว้ตั้งแต่เช้า เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้เพนกวินจะออกประมาณ 6:15PM (ช่วง sunset ดังนั้นถ้าไปหน้าร้อยก็จะตกประมาณ 2 ทุ่ม) แต่ประตูเปิดให้เข้าตั้งแต่ 5:30PM

ถึงที่ชมจะห้ามถ่ายภาพและวีดีโอเพราะจะทำให้น้องกวิ้นตกใจได้ ใครที่อยากสัมผัสเพนกวินอย่างใกล้ชิดแนะนำให้นั่งใกล้ทางเดินตรงกลาง เอาเสื่อหรือผ้าปูไปรองนั่งบนทรายไปเลยจะเห็นชัดมาก

เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยของน้องกวิ้น ขอนำภาพจากที่อื่นมาให้ชมกัน

source: https://phillipislandtour.com.au

  • เพนกวินพันธุ์ที่อยู่ที่ออสเตรเลียจะเป็นเพนกวินตัวเล็ก สูงประมาณ 1 ไม่บรรทัดและหนักแค่ 1 กิโลกรัมเท่านั้น
  • เพนกวินใช้เวลา 80% ในทะเล กลับฝั่งมาที่รังบนบกตอนกลางคืน (ตอนที่ผู้ล่าหลับไปหมดแล้ว) ดังนั้นช่วงที่เปราะบางที่สุดคือช่วงเดินข้ามหาดทราย ที่เรามานั่งดูกัน ต้องอาศัยกำลังใจอย่างมากในการเดินจากทะเลไปสู่รังของมัน ปกติจะมีเพนกวินผู้กล้าไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าฝูง เดินขึ้นมาแหย่ๆที่ชายฝั่งก่อน แล้ววิ่งกลับลงไป ประมาณ 4-5 รอบ ก่อนที่จะเริ่มรวมกลุ่มกันแล้วค่อยๆเดินขึ้นมา ลักษณะการเดินรู้เลยว่ากลัว จะเดินแบบลังเลๆ ช้าๆ เดี๋ยวเดินไปข้างหน้า เดี๋ยวถอยกลับ พอถึงจุดหนึ่ง (คิดว่ามันคงมองเห็นรังของมัน) จะเริ่มสับล่ะ เดินเร็วขึ้นผิดหูผิดตาจนเข้ารังได้ในที่สุด เจ้าหน้าที่เล่าว่า เจ้ากวิ้นมักจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ เดินในเส้นทางซ้ำๆ แต่ระหว่างดูก็มีบางตัวที่เบลอนะ ผลัดหลงจากฝูง หาเพื่อนไม่เจอ เดินเข้าหาคนเฉ้ย
  • ในช่วงที่มีหมาป่าบุกเกาะ Philip Island ว่ากันว่าคืนหนึ่ง หมาป่า 1 ตัวสามารถฆ่าเพนกวินได้สูงสุดถึง 40 ตัว เลยมีการกำจัดหมาป่าอย่างจริงจังเพื่อรักษาเพนกวินเอาไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ จะเห็นว่าสัตว์และพืชในออสเตรเลียค่อนข้างอ่อนต่อการรุกรานของ species ใหม่ๆ มีสัตว์ตัวใหม่ๆโผล่ไปที่ ecosystem แทบพัง เค้าถึงได้เข้มงวดมากเรื่องนี้
  • ถึงแม้จะนั่งรอจนหนาวสั่นอยู่ถึง 2 ชั่วโมงก็ได้เห็นเพนกวินข้ามหาดมาแค่ 30 ตัว (ไหนบอกบางคืน 800 ตัว ฮือออ) เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้เดินขึ้นมาดูที่ colony หรือรังของมันนั่นเอง เห็นจริงด้วย แบบระยะเผาขน ยืนมึนๆอาจจะงงว่าไอ้เจ้ามนุษย์พวกนี้มาทำอะไรกัน ณ ปัจจุบันก็ยังมีทีมนักวิจัยทำวิจัยเรื่องเพนกวินอยู่ เป็นอาชีพที่น่าสนใจพอสมควรเลย

ก่อนจะขับรถออกไป เจ้าหน้าที่ให้พวกเราตรวจเช็คใต้ท้องรถว่าไม่มีเพนกวินไปแอบอยู่ พอตรวจแล้วว่าโล่งโจ่งก็ได้เวลาบอกลาน้องเพนกวินและ Philip Island แห่งนี้

[Airbnb] บ้านป้า Paula ที่ Geelong
เนื่องจากพรุ่งนี้จอง Skydiving ที่แถว The Great Ocean Road ไว้ตั้งแต่เช้า เลยตัดสินใจกันว่าไปพักใกล้ๆที่โดดเลยน่าจะดีกว่าต้องรีบเร่งขับรถตอนเช้าเพื่อไปให้ทัน ดังนั้นหลังจากไปตากลมหนาวดูเพนกวินเสร็จก็ได้เวลาขับรถอีก 3 ชั่วโมง ฝ่าเมือง Melbourne ไปนอนที่เมือง Geelong เมืองต้นทางของ The Great Ocean Road

หลังจากตรากตรำกันมาทั้งวัน ในที่สุดก็มาถึง Airbnb บ้านป้า Paula ในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง เป็นที่พักที่จองได้ในราคาที่ต่ำที่สุดในทริปคือ 1627.35 บาท กับบ้านที่สวยเริ่ดที่สุด ส่งข้อความหากัน ป้าบอกว่าตอนยูมาถึงไอคงนอนไปแล้ว ไม่คิดว่าป้าจะยังอยู่รอต้อนรับ แล้วก็พาทัวร์บ้าน ดูห้องน้ำสุดหรู แถมเตียงยังมีเครื่องทำความอุ่นด้วย จริงๆเดี๋ยวเราจะกลับมาพักที่นี่อีกคืนหลังจากไปแว๊นที่ The Great Ocean Road เสร็จ

ห้องน้ำป้าเริ่ดสุด

เนื่องจากป้าได้ขายบ้านแล้วและย้ายบ้าน เลยมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีเป็น Airbnb แล้ว แต่ลองเช็คได้ที่ลิงค์ https://www.airbnb.com/rooms/9794982

 

Day 6 (18/04) Once in a lifetime…Skydiving

วันนี้ตื่นแต่เช้า พอตื่นมานึกขึ้นได้ว่าอีกไม่ถึง 4 ชั่วโมงจะต้องไปเสี่ยงตายกลางอากาศแล้ว ท้องไส้ก็ปั่นป่วนทันที

Skydiving
เอาจริงๆคือแค่เคยเห็นผ่านๆว่าเพื่อนที่มาออสเตรเลียโดดกัน (ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนตอนไปทำงานที่สิงคโปร์) ประกอบกับเจ้านายเก่าชาวมาเลเคยพูดไว้ว่าเป็นกิจกรรมที่อยู่ใน Bucket List ของเค้าก่อนตาย ตอนวางแผนเที่ยวก็คุยเล่นๆกับคุณสำลีว่าโดดไหมๆ เริ่มหาข้อมูล แล้วก็โป๊ะเชะว่าอยู่ในเส้นทางที่เราจะไป อ่ะ ไหนๆก็ไหนๆ โดดก็โดดวะ ครั้งหนึ่งในชีวิต

ถามเพื่อนที่เป็นคนไทยหนึ่งเดียวที่เคยเห็นว่ามาโดด แนะนำเจ้านี้มา https://www.skydive.com.au/

สถานที่
มีโลเคชั่นที่เลือกโดดได้อยู่หลายที่ทั่วออสเตรเลียตามภาพนี่เลย

ราคา
บอกเลยว่าแพง! แต่ก็เข้าใจได้ว่ามีค่าสถานที่ เครื่องบิน ครูที่โดดไปกับเรา และอื่นๆอีกมากมาย มาดูราคาเต็มกันก่อน
ถ้าโดดที่ความสูง 15,000 ฟุต (โปรแกรมที่พวกเราโดด) จะได้ free fall ประมาณ 60 วินาที (ตอนตกลงมาก่อนที่จะกางร่ม) ถือเป็นความสูงที่สูงที่สุดของโปรแกรมทั้งหมด ราคาเต็มจะอยู่ดี 354 AUD + ค่าวีดีโอและภาพถ่ายอีก 159 AUD รวมทั้งหมดคือ 513 AUD คิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,000 บาท โคตรแพงงงงงงงงงแต่ปกติมันมีลดอยู่แล้ว พวกเราได้ส่วนลดวันอีสเตอร์ โดดเป็นคู่ กับตอนจองโปรแกรมติดบั๊คคำนวณผิดอะไรก็ไม่รู้ (ขนาดว่าตื่นเต้นจนเรียกได้ว่ากลัวที่กำลังจะโดด ก็ยังไปเจรจากับเค้าจนได้ราคาที่โปรแกรมมันคิดผิดมา ความงกชนะทุกสิ่งจริงๆ) เบ็ดเสร็จตกคนละ 388 AUD หรือ 9,300 บาท เอาวะ ต่ำกว่าหมื่นนึงถ้าว่าถูกแล้ว

เงื่อนไข
คนที่จะโดดแล้วไม่มีปัญหาคือต้องผ่าน 3 เงื่อนไขนี้ (ถ้าไม่ผ่านอาจจะต้องคุยว่าโดดได้ไหม ทำอย่างไร) 1) อายุ 18 ปีขึ้นไป ไหนใครแอบแม่มาโดดเหมือนคุณสำลีบ้าง 2) น้ำหนักน้อยกว่า 94 กิโลกรัม ไม่ต้องหลอก ไม่ต้องแกล้งทำตัวลีบ เพราะเค้าจับคุณชั่งน้ำหนักก่อนโดดจ้า 3) ไม่ได้ไป Scuba Diving ก่อนโดด (จำไม่ได้ว่าภายในระยะเวลากี่วัน) เพราะความดันมันคงแตกต่างเกินไปจนอาจเป็นอันตรายได้

รอบการโดด
มี 5 รอบให้เลือกในหนึ่งวันตั้งแต่ 7:00AM 8:00AM 9:00AM 10:00AM ไปจนถึง 11:00AM พวกเราเลือกโดดสิบโมงเพราะขี้เกียจตื่นเช้าหลังจากเมื่อวานนอนดึก ควรจะไปถึงซัก 30 นาทีล่วงหน้าเพราะต้องมีการกรอกเอกสาร จ่ายเงินที่เหลือ ใส่ชุด ดูวีดีโอความปลอดภัย ฯลฯ กินข้าวไปให้พร้อม (อย่ากินเยอะเดี๋ยวอ้วกกลางอากาศ) ยาดงยาดมพกไปให้ดี

ฟ้าฝนต้องเป็นใจ
Skydiving เป็นกิจกรรมที่ขึ้นกับสภาพอากาศเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด พวกเราโชคดีจริงๆที่จองไปพอดีวันที่อากาศดีมาก ถึงขนาดเจ้าหน้าที่ยังพูดว่าฝนตกลมแรงโดดไม่ได้ติดต่อกันมา 2 อาทิตย์ ของพวกยูเป็นวันแรกที่โดดได้ โชคดีกันจริงๆ (ก็สงสัยว่าจะสะเดาะเคราะห์ที่กระจกรถเช่าเป็นรู้ละมั้งคะ) ในกรณีโดดไม่ได้ น่าจะต้องเลื่อนวัน ดังนั้นถ้าจองไปก่อนพยายามทำแผนเผื่อวันให้ค่อนข้าง flexible ถ้ายังโดดไม่ได้ให้ไปเที่ยววนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นแล้วกลับมาโดดวันถัดไป

หนังสือยินยอมพลีชีพ
ก่อนจะโดด จะมีการเซ็นชื่อในหนังสือยินยอมพลีชีพก่อน พอเซ็นปั๊บความกลัวความตื่นเต้นมันทวีคูณทันที ปกติฉันเป็นคนถ่ายไม่ออกเวลาต่างถิ่น ที่มาออสเตรเลียก็แทบไม่ถ่ายเลย ปรากฎว่าหลังจากเซ็นนี่ไม่ใช่เข่าอ่อนอย่างเดียว ขี้เค่อก็อ่อนด้วย ท้องเสียเลย โหย วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน

จะโดดแล้วนะ!
ทุกคนจะต้องไปดูวีดีโอความปลอดภัย (ที่จะบอกว่าเราจะต้องทำอย่างไรในแต่ละขั้นตอนการโดด ระหว่างดูก็ซ้อมทำไปด้วย)


ใส่ชุดอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อย


ก็ถึงตอนโดดจริง จะมีชื่อเราขึ้นอยู่บนกระดานพร้อมกับชื่อครูฝึกที่จะไปกับเรา ได้ครูชื่อ Lachian แลคเฮียน? ลาเชียน? อ่านไม่ออก


เครื่องมาจอดรอแล้วจ้า

ได้เวลาขึ้นเขียง
รอไม่นานก็มีฝรั่งหน้าตาดีวิ่งเข้ามาหาคุณสำลี แนะนำตัวว่าเป็นครูฝึก เช็คอุปกรณ์การแต่งตัวแล้วก็พาไปที่เครื่องบิน เพื่อนๆที่โดดรอบเดียวกัน 5 คนก็ค่อยๆมีครูมาพาทยอยไปขึ้นเครื่อง ปล่อยฉันให้โดดเดี่ยวเคว้งคว้างอยู่คนเดียว อ้าว อย่าลืมหนูสิคุณสำลีเดินยิ้มแฉ่งขึ้นเครื่องไปแย้วววว


เคว้งอยู่สักพักก็มีผู้ชายคนนึงวิ่งมาหา หน้าตาผมเผ้าอารมณ์นักร้องเพลงคันทรี่ เมิงจะพากูรอดไหมเนี่ย Alert ขั้นสุด ถามคำถามฉันอยู่ตลอดเวลาด้วยสำเนียงที่กุฟังไม่ออก คือตอนนี้อยากรู้อย่างเดียวว่าครูได้โดดรอดมากี่ครั้งแล้วแค่นั้น (ครูบอกว่า 300 กว่าครั้ง) เอาวะ สู้ว

พอวิ่งด้วยความเริงร่ามันถึงเครื่องบิน (จริงๆครูแม่งเริงร่าอยู่คนเดียว อิเจนจะเป็นลมล่ะ) ก็พบว่าทุกคนขึ้นไปนั่งกันหมดล่ะ แล้วที่นั่งหนูอ่ะ อยู่ไหน ระหว่างพยายามเมียงมองว่าจะให้นั่งไหนครูก็ปีนขึ้นไปนั่งแปะอยู่ปริ่มๆขอบๆประตูแล้วตบมือไปที่พื้นว่างๆ แบบต้องนั่งกับพื้นเหยียดขา มาเร็ว ปีนมานั่ง คนอื่นรอ ไรเนี้ย ทำไมคนอื่นนั่งบนเก้าอี้อ่ะยังไม่ทันนั่งเรียบร้อยเครื่องก็ขึ้นทันที

เห้ยยยยยยยยย เดี๋ยวนะ ทำไมไม่ปิดประตู คือเอนตัวไปด้านขวานิดเดียวนี่ตกลงไปตายได้เลยนะ

ครูอีกคนชโงกหน้ามาบอกว่า “ยูลืมจ่ายตังค์ค่าประตูหรือเปล่า” หรือจะเป็นเมื่อกี้ที่โกงเค้ามาวะ ฮืออออออออออสักพักครูเลิกแกล้ง ปิดประตูในที่สุด ตอนนั้นเริ่มค่อยๆคิดขณะมองหาดทรายและผืนน้ำทะเลที่อยู่ไกลไปเรื่อยๆ ครุ่นคิดเล็กน้อยว่าปกติถ้าจะโดดก็ต้องออกที่ประตู แล้วคนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด กูไง ม่ายยยยยยยยยย สติหลุดล่ะ ไม่มีอารมณ์ชื่นชมความงามน่านน้ำทะเลที่ฉันเป็นคนเดียวที่ได้อภิสิทธ์เห็นอย่างชัดเจน (เพราะนั่งอยู่ตรงประตู)

ครูหันมาอัดวีดีโอถามว่าตอนนี้คิดว่าสูงเท่าไหร่ เหลือบมองนอกประตูเห็นหาดทรายอยู่จิ๋วนึงเลยตอบไปมั่วๆว่าหมื่นฟุตมั้ง ครูบอกว่าตอนนี้แค่ 4,500 ฟุต เดี๋ยวนะ เราโดดกันที่ 15,000 ฟุต แม่งยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของความสูง ช็อคแป๊บระหว่างที่เครื่องบินปรับระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ สายตาที่พร่ามั่วของฉันก็จับจ้องไปที่สัญญาณไฟบนผนังเครื่องบิน สีแดง คือ ยังบินอยู่ สีเหลือง คือ ประตูเปิด และสีเขียว คือ คอนเฟิร์มโดดได้ ตอนนี้ยังเป็นสีแดงอยู่ พร้อมกับใจดวงน้อยๆที่เต้นรัวแรงมาก ครูฝึกเริ่มเช็คอุปกรณ์อีกครั้งและเกี่ยวตัวฉันกับอุปกรณ์ตัวเองไว้ ชะโงกหน้ามาซักซ้อม

ครูฝึก: “ยูรู้ใช่ไหมว่าตอนโดดลงไปต้องทำตัวให้โค้งเหมือนกล้วย” คือหัวงอขึ้น ขางอขึ้นท้าลม ตามที่ได้เรียนในวีดีความปลอดภัยมาเมื่อกี้นี้
เจน: “รู้ค่ะ” พยักหน้าหงึกหงักอย่างอ่อนแรง ตอนนี้เห็นแผ่นดินอยู่จิ๋วเดียว กรูขึ้นมาทำอะไรที่นี่เนี่ยยยยยยยยย
ครูฝึก: “งั้นเอางี้ เดี๋ยวก่อนโดดไอจะตะโกนว่า Banana แล้วให้ยูตะโกนตอบว่า Banana เป็นสัญลักษณ์ว่ายูพร้อมโดด แล้วเราค่อยโดดนะ”
เจน: “โอเคค่ะ”
ครูฝึก: “อ่อ โดดลงไปแล้วอย่าลืมยิ้มละเพราะจะถ่ายวีดีโอ”

ดูรอยยิ้มเจื่อนๆนะ ที่ประตูมีเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘EXIT’ เชิญลงทางนี้เลยจ้ะ


จบบทสนทนา ครูยื่นแว่นมาให้ใส่ (ต้องใส่ให้ดีนะเพราะลมตีแรงมากจริงๆ) บอกทุกคนว่า “ลมจะแรงและเย็นนิดหน่อยนะ เป็นปกติ ไม่ต้องตกใจ” แล้วก็เปิดประตูออก ฉันเหลือบไปมองไฟ ตอนนี้เป็นสีเหลืองแล้ว”อ่ะ ค่อยๆเลื่อนตัวเอาขาพาดขอบประตู” ครูฝึกบงการอยู่ข้างหลัง อิเจนก็ค่อยๆ move ตัวที่อ่อนปวกเปียกไป ท่ามกลางเพื่อนๆที่ลุ้นกันทั้งลำ

Big Jump
ด้วยความช่วยเหลือจากครูฝึก เราสองคนก็สามารถเอาขาพาดอยู่ที่ขอบประตูเครื่องบินได้สำเร็จ ฉันพยายามบังคับขาให้โค้งขึ้นแตะตัวเครื่องบินตามวีดีโอความปลอดภัยสูดหายใจเข้าลึกๆรอสัญญาณ Banana จากครู หางตาเหลือบไปเห็นไฟขึ้นสีเขียว ครูกดคอให้พิงอกเขาแล้วโดดทันทีอ้าว สัญญาณ Banana กูล้าาาาาาาาาาาาาาา


ถ้าโดดลงมาธรรมดาเดี๋ยวไม่คุ้ม ต้องตีลังกาให้พลิกตัวกลับเห็นเครื่องบินหนึ่งรอบเป็นการสั่งลา


เอาจริงๆคือตอนนั้นแหกปากกรี๊ดอย่างเดียว เสียวโคตรรร ถ่ายวีดีโอออกมาก็อุบาทว์ได้ใจอยู่

Free Fall
พอโดดลงมาแล้วจะเป็นการ Free Fall อีกเกือบนาที คือการตกลงมาด้วยมวลของเราผ่านชั้นบรรยากาศด้วยไม่มีสิ่งใด(อาทิ ร่มชูชีพ)ฉุดรั้งไว้ ตอนแรกครูจะให้เราจับสายอุปกรณ์เก็บมือไว้ที่อกก่อน พอเค้า tab ที่แขนถึงจะกางมือได้ พยายามทำตัวให้เป็น Banana เหมือนที่ครูสัญญาว่าจะให้สัญญาณก่อนโดด (ยังมีเคือง)


พอตอน Free Fall เริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าต้องยิ้ม เสียเงินค่าภาพและวีดีโอมาตั้งเกือบ 4,000 บาทยังไงก็ต้องยิ้มให้ออก แม้มีอานุภาพลมปะทะหรือความกลัวตายตอนนั้นยังสู้การที่จะได้ภาพสวยๆกลับไปไม่ได้ หยุดแหกปากและฉีกยิ้มกว้างๆทันที เลยได้ภาพสวยสมใจ

Landing
ครบ 1 นาทีก็ได้เวลากางร่ม ก็จะกระตุกไปข้างหลังนิดนึง ไม่ได้รุนแรงอะไร กระชากไปทั้งตัวเท่านั้นเอร็งงงงง ของคุณสำลี ครูมีนับนิ้วบอก ของฉัน กางแมร่ง เลยกรี๊ดออกมาอีกที


พอร่มกางออกปุ๊บเหมือนมีเสียงในหัวเลยว่า ‘รอดแล้วโว้ย’ เป็นความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่บอกไม่ถูก แต่บรรดาครูฝึกได้รับการสั่งสอนมาว่า เดี๋ยวไม่คุ้ม เลยจัดการสอนพวกเราให้บังคับร่มแบบผาดโผน หมุนควงสว่านลงมาจนแทบอ้วก


ตอน landing ต้องพยายามยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้ก้นไถลไปกับพื้น เห็นคนที่โปรมากๆที่ลงมายืนเลยด้วยซ้ำ ส่วนฉันแค่ลุกไม่ขึ้นเท่านั้นเองโดดลงมาครบ 32 ประการ ต้องขอบคุณคุณครู Banana ที่ entertain การโดดอย่างต่อเนื่อง แถมยังถ่ายภาพถ่ายวีดีโอให้เป็นอย่างดี

แหม แหกปากซะสิ้นท่า มันทำเป็นเท่จับมือครูฝึก


หันไปเห็นคุณสำลีโดดลงมาถึงพอดี รอดแล้วเช่นกัน


รอภาพและวีดีโอประมาณ 25 นาที มีเกียรติบัตรแถมให้ด้วย
วิ่งไปเช็คไฟล์ทั้งหมดในคอมที่เค้าเตรียมไว้ให้ เรียบร้อยทุกอย่างตอนเวลาเที่ยงตรงพอดิบพอดีก็ขึ้นรถออกเที่ยวต่อ

The Great Ocean Road ภาค 1/2

London Bridge
เนื่องจากต้องไปถ่าย Sunset ที่ Twelve Apostles ให้ทัน เราเลยเลือกขับเส้นลัดข้างบนไปโผล่แถวๆนั้นเลย แต่เพราะโดดร่มเสร็จเร็วจากเวลาที่คิดไว้ เลยไปที่อื่นก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน

ระหว่างขับไปเจอน้องวัวด้วยยย


แวะพักดูวิวทะเลแพร๊บหลังจากขับมากว่า 2 ชั่วโมง (จริงๆหลง) พยายามไปนั่งกลางหมู่นกนางนวล อยากได้รูปอารมณ์สาวสวยรักสัตว์ แต่นกหนีหมดเลยง่ะ เส้า


ที่แรกที่พวกเรามาคือ London Bridge สะพานที่เชื่อมระหว่างหินสองก้อนแต่ถล่มไปแล้ว

The Arch
ไปต่อกันที่สะพานโค้ง

Loch Arch Gorge
ขับรถมาไม่ไกลกับสองที่แรกมานัก


ที่นี่ให้หาทางลงไปดูข้างล่างหาดด้วย สวยดี


ถ้าไม่มีรถก็จองทัวร์แบบ day trip มาจากเมือง Melbourne ได้นะ รถทัวร์จอดให้รึ้ม

Twelve Apostles (Sunset)
วันนี้เป็นผู้ช่วยช่างภาพสำลีเต็มตัวตั้งแต่ขับรถ คุมเวลาถ่ายรูป วิ่งไปจองที่ เหลือแค่อย่างเดียวที่ไม่ได้เป็นคือนางแบบ เพราะคุณสำลีบอกว่าวิวสวยกว่าเยอะ เชอะ


แค่ Visitor Center ก็สวยแล้ว


โชคดีที่วันนี้ฟ้าฝนเป็นใจ สวยงามตามท้องเรื่องมาก แต่ควรจะมาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะคนเยอะะะะะะ ดีว่าวิ่งมาจองที่ได้สำเร็จ แชะแรกนี่แทบละลาย วิวอะไรสวยได้ขนาดนี้


เอาจริงคือพยายามนับ ทั้งที่คิดว่าถล่มไปแล้วรวมกันกับที่ยังตั้งอยู่ดี ยังไง้ยังไงก็ไม่ถึง 12 นะ หรือเรานับผิด


เริ่มมืด


จบที่ฟ้าแดงๆ

[Airbnb] บ้านลุง Peter กับป้า Lixy ที่ Cobden
ที่พักที่ Port Campbell เป็นอะไรที่แพงมว๊าก หาไปหามา เลยตกลงปลงใจไปอยู่กับลุง Peter และป้า Lixy ที่เมือง Cobden ในราคา 2524.77 บาท ที่ห่างจาก Twelve Apostles ประมาณ 45 นาที เหมือนเดิม เมือง Cobden ในเวลาหนึ่งทุ่มมีสภาพคล้ายกับ Raccoon City ใน Resident Evil ส่วนบ้านลุงกะป้าหาโคตรยากเพราะเล่นปิดไฟมืด แบบมืดจริง ส่องไฟกันอยู่นานจนเจอ

ตอนแรกนึกว่าลุงกะป้าไม่อยู่บ้าน เห็นปิดไฟมืด เลยเดินลงไปหากุญแจตาม instruction แล้วกลับมาเอากระเป๋าที่รถ กลับไปอีกทีเจอลุงกะป้ารออยู่ ตกใจหมดเลย นึกว่าเจอผีฝรั่ง จากนั้นลุงป้าก็พาทัวร์บ้านพักสุดเดิร๋นที่แยกห้องมาจากตัวบ้าน มีเตียง อุปกรณ์ทำอาหาร บาร์กินข้าวเล็กๆ ห้องน้ำ จบเบ็ดเสร็ดในคราเดียว

ตามไปพักกันที่ลิงค์ https://www.airbnb.com/rooms/23312214

ประโยชน์ของความมืดของบ้านลุงกะป้าคือการที่เห็นดาวได้ชัดเจน คุณสำลีกินข้าวเสร็จแล้วก็คว้าขาตั้งกล้องออกไปถ่ายช้างไม่สนใจใคร ส่วนฉันขออาบน้ำอุ่น นอนพักดูวีดีโอ Skydiving อยู่ในบ้านก็แล้วกัน นางออกไปหลายชั่วโมงอยู่ ได้มา 1 ภาพถ้วน

ไปต่อกันที่ EP 3 (Final) ได้ที่ลิงค์ https://wp.me/p6REJW-1ef

2 comments

  1. เปิดหากระทู้อ่านเรื่องการเตรียมสอบ GMAT แล้วก็หลงเข้ามาอ่านในกระทู้นี้ อ่านไปอ่านมารู้สึกเพลิดเพลินกับสำบัดสำนวนของผู้เขียนที่อ่านแล้วไม่ชวนเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน หรือเรื่องส่วนตัวฯลฯ เสียดายที่เพิ่งมาอ่านตอนเข้าสู่วัยทำงานไปแล้ว ไม่งั้นเราคงจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ ขอบคุณ คุณ jane มากมายที่แบ่งปันประสบการณ์ที่หลากรสหลากอารมณ์มาให้พวกเราได้ซึมซับกัน เราก็จะกลั่นกรองประสบการณ์เหล่านั้นมาลองปรับใช้ในชีวิตดู ^^

    • ขอบคุณมากค่ะ เป็นคำชมที่ทำให้คนเขียนดีใจจริงๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*