ไฮไลท์แห่งความขาวเนียน จงมาาาาาาาา
ตารางเที่ยววันนี้ค่อนข้างเรียบง่าย
14 Feb 2015
เนื่องจากวันนี้เป็นวันวาเลนทุยยยยย อิอิ เลยแอบตื่นมาทำเซอร์ไพร์สด้วยเสื้อทีมเป็ดแดงทีมโปรดของคุณสำลี ถามนางกลับว่าของขวัญเราอ่ะ นางตอบว่านี่ไงมาเที่ยวด้วย -..- ออกไปกินข้าวเหอะ โมโหหิวและ
สังเกตอุปกรณ์คาดท้อง ไว้เก็บเงินและสิ่งสำคัญอื่นๆเช่น Passport และโทรศัพท์มือถือ มีไว้อุ่นใจมากค่ะ ฉันก็ยืมมาจากพี่ housemate ที่สิงคโปร์ ต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี่ด้วย
บรรยากาศในโถงนั่งเล่นค่อนข้างอบอุ่น น่ารักประทับใจเลยทีเดียว
ไลน์อาหารค่อนข้างน้อยกว่า Hippodrome Hotel มาก ที่นี่มีชาแอปเปิ้ลให้ลองชงกินเองด้วย ถึงได้รู้ว่าความจริงมันทำง่ายมากและเมื่อวานถูกหลอกฟันกำไรมาเยอะ T^T
หาโปรตีนแทบไม่เจอ ขนมปังก็ไม่อร่อย เลยจัดไข่ไป 3 ฟอง
คุณสำลีเน้นคาร์โบให้พลังงาน เพราะวันนี้เดินเยอะแน่นอน
แอบส่องหนุ่มน้อยลูกเจ้าของโรงแรมเล่นกับน้องหมา ดันรู้ตัวซะนี่
กินเสร็จก็จัดการเช็คเอ้าท์ จ่ายเงิน ฝากกระเป๋า (เป็นการนอนโรงแรมที่สั้นที่สุด) พร้อมกับถามทางไป Pamukkale Natural Park กับเจ้าของโรงแรม ลุงบอก ออกไปรอข้างนอกเลยหลานเดี๋ยวไปส่ง เออ ดีเนอะ ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย เลยออกไปเก็บภาพบรรยากาศของโรงแรมเพราะเมื่อคืนมืดและง่วงมากจนไม่ได้สนใจอะไร
มีสระว่ายน้ำด้วยนะ เผื่อหน้าร้อนใครมาก็กระโดดลงไปเลย
โต๊ะอาหารกลางแจ้ง
ซักพักลุงก็ขับรถมาเทียบหน้าโรงแรม แล้วบีบแตรให้พวกเราปีนขึ้นรถ
ต่อไปนี้ ขอเรียกลุงว่า ลุง fast & furious แบบซิ่งมาก เหยียบไปไม่ต่ำกว่าร้อยยี่ หลุมบ่อเลี้ยวตรูไม่สน ดริฟโลด ฉันนั่งอยู่ด้านหลัง ตอนแรกนั่งอยู่ตรงกลาง ผ่าน 1 โค้งกลิ้งโคโร่ไปอีกฟาก เสียวมาก
แม้ลุง fast จะซิ่งไปบ้าง แต่ก็ต้องขอบคุณลุงที่พามาส่งที่ Southern Gate พร้อมแนะนำเสร็จสรรพให้เดินลงเนินไปออกที่ Western Gate เพราะไม่งั้นคงต้องเดินขึ้นไปจนสุดแล้วลงมาอีกรอบ เหนื่อยและเสียเวลาน่าดู
แผนที่คร่าวๆ ข้างบนเนินคือเมืองโบราณเฮียราโพลิส (Hieraporis) ส่วนที่ข้างล่างที่ขาวเนียนวิ้งๆ คือที่เรียกกันวันปราสาทปุยฝ้ายหรือ Pamukkale นั่นเอง
ไร้ผู้คน
ส่งคุณสำลีไป speak English ซื้อบัตรก่อนเลย โดนไปคนละ 25 TL แต่เข้าได้ทั้ง Hieraporis และ Pamukkale (สองที่นี้เชื่อมต่อกัน)
เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปเล้ยยย
ชาวโรมันเชื่อว่าน้ำแร่ที่ Pamukkale เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำบัดโรคภัยต่าง ๆ ก็เลยพากันอพยพมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เหนือ Pamukkale จนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ ชื่อว่าเฮียราโพลิส (Hierapolis) แปลว่านครศักดิ์สิทธิ์ตามแหล่งน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
เวลาทำการ: ทุกวัน 08:00 – 17:00 (ฤดูหนาว)
เดินเข้าไปแล้วงงๆ คือกว้างสุดลูกหูลูกตา จะเดินไปไหนก่อนดี
เจอเสานี้ก่อนเลย แต่อย่าถามว่าอะไร เพราะหนูไม่รู้ววว
จริงๆเค้าก็มีป้ายให้อ่านนะว่ามันคืออะไร จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามสภาพเซลล์สมองที่เสื่อมลงตามกาลเวลา เง้ออ
อันนี้คือ The church with pillar จุดเด่นคือมีเสาหลายขนาด แต่ตอนนี้มองไม่ออกไปแล้ว
ปัจจุบันนักโบราณคดียังคงขุดหาพิสูจน์ซากโบราณกันอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงมีผ้าคลุมเขียวบ้าง ป้ายบอกบ้าง ถ้ามาเรียนโบราณคดีที่นี่น่าจะมีงานทำอยู่
มองไกลๆเห็น Theatre ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยทีเดียว เลยชวนกันเดินไปเยี่ยมชมซักหน่อย
เดินมาถึงล่ะ แต่ Theatre โดนล้อมกรง ไม่รู้จะเข้าไปยังไงดี
คุณสำลีบอกไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพาขึ้นไปเอง ว่าแล้วนางก็เดินพรวดๆขึ้นเนินไปเลย
รอตรูบ้างเซ่
ปีนเนินขึ้นมาจนหอบ ในที่สุดก็เจอทางเข้า Theatre เป็นของเรา บ้าบอกันอยู่ 2 คน หุหุหุหุ
ซูมเข้าไปใกล้ๆเวทีหน่อย
เค้าบอกกันว่า Theatre หรือโรงละครจะมีระยะระหว่างพื้นกับที่นั่งคนดูไม่มากนัก ส่วนพวกสนามประลองที่ปล่อยสัตว์ดุร้ายมาสู้กับคนระยะห่างจะมากขึ้น
ถ่ายมุมเอียงบ้าง
ที่นั่งคนดู
คิดสภาพสมัยก่อน เวลาจีบกันคงประมาณว่า
คุณสำลี: เธอ ไปดูละครเย็นนี้กับเราไหม
ฉัน: นายไปเหอะ เราขึ้เกียจเดินขึ้นเนิน (แป่วววว)
ขอขอบคุณเมเจอร์ซีนีเพลกซ์ที่ทำให้ฉันหาแฟนได้ ถ้าต้องปีนขึ้นไปดูละครแบบนี้คงเป็นโสดไปอีกนาน
ปีนขึ้นปีนลงอยู่ซักพักก็ได้เวลาย้ายที่ เดินด็อกแด๊กๆ หาที่หมายใหม่จนมาเจอ สุสานและโบสถ์ของ St. Philip
ปีนขึ้นไปหาโบสถ์
วิวช่างสบายตาดีแท้ ที่เห็นขาวๆไกลๆไม่ต้องสงสัย นั่นคือปราสาทปุยฝ้ายหรือ Pamukkale นั่นเอง เห็นแบบนี้ไกลเหมือนกันนะ
เนื่องจากซากปรักหักพังแต่ละที่อยู่ไกลกันมาก และขณะนั้นก็เป็นเวลา 11 โมงแล้ว กลัวไปต่อรถไฟไม่ทัน เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไป Pamukkale
ร้างมาก เหมือนเดินกันอยู่ 2 คน
พักแวะเข้าห้องน้ำที่ Antique Pool
ถ้าเป็นหน้าร้อนคงมีคนแช่น้ำแร่อยู่เต็มสระ
แต่อุณหภูมิเลขตัวเดียวแบบนี้ (ยังดีหน่อยที่มีแดด) จ้างก็ไม่ลงเฟ้ย ถ้าเงินไม่เยอะพอ
ราคาโหดเอาการ ผู้ใหญ่ 32 TL เด็กอายุ 7-12 ปี 13 TL ต่ำกว่านี้ฟรีจ้า
เดินไปเรื่อยๆก็ถึง Pamukkale จนได้
Pamukkale หรือที่เรียกว่า ปราสาทปุยฝ้าย เพราะความขาวเนียนวิ้งๆของนาง เป็นหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลรินลงมาจากภูเขาคาลดากึที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ รินเอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฏิกิริยาจับตัวแข็งเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ
ถึงจุดนี้ต้องถอดรองเท้าเดินเพื่อรักษาความขาวเนียนต่อไป ยังดีที่น้ำค่อนข้างอุ่น ไม่งั้นคงหนาวสะดุ้งไปตามๆกัน อย่าลืมเอาถุงพลาสติกมาใส่รองเท้าด้วย
จ้างคนแบกรองเท้ามาด้วย อิอิ เห็นเริงร่าแบบนี้ ฝ่าเท้าแทบแข็งนะจะบอกให้
ทางอุทยานก่อปูนขึ้นมาเป็นบ่อๆ น้ำจะได้ไหลมารวมกันเป็นสระน้ำขนาดย่อม ไอเดียไม่เลวเลย ถ้าหน้าร้อนคงมีคนมานอนแช่กันเต็มไปหมด
ขาววววว ไปหมด
มีน้ำแร่ไหลมาเรื่อยตามร่อง ลองเท้าเท้าไปแช่ดู อุ่นสบาย แต่พอชักเท้าออกมา หนาว บรื๋อ
ลองเข้าไปเดินเล่นในบ่อน้ำดู มีโคลนที่เล่ากันว่าดีต่อผิว คุณสำลีเอามาพอกขาใหญ่เลย
บางจุดมีน้ำเยอะจนเหมือนน้ำตก
เหมือนยืนถลกขากางเกงอยู่บนภูเขาหิมะ
คุณสำลีนี่สีตัดพอดีเลย อุ้ย พูดอะไรออกปายยย
สวยจนอึ้ง
เดินมาถึงประตูทางออก ไม่กลับได้ไหม
เดินลงมาเรื่อย เจอหมู่บ้านเล็กๆ
ท้องร้องพอดี เลยมองหาของกิน จนมาเจอร้านนี้ ดูอบอุ่นน่ารัก แถมยังมีคนนั่งอยู่ หารู้ไหมนั่นคือเจ้าของร้านและครอบครัวนั่งเป็นหน้าม้าอยู่
สนนราคามื้อนี้ 36.5 TL แบ่งเป็น kebab (ไก่ 2 ไม้ + ข้าว) 15 TL, meat ball (เนื้อ 3 ก้อน + ข้าว) 17 TL สองอย่างรวมกันอยู่ในจานนี้ Apple tea 3 TL และน้ำเปล่าขวดเล็กราคา 1.5 TL แถมตอนคิดเงินยังคิดผิดโดยคิด 1.5 เป็น 15 ตรูหัวใจจะวาย
บ่นกับเจ้าของร้านเล็กน้อยว่าน้อย ไม่อิ่ม เลยได้ถั่วตุรกีมากินฟรี กินไม่เป็นเลยต้องวางทิ้งไว้งั้น ทฤษฎีที่ว่าอาหารนอก Istanbul นั่นจะถูกลงเลยถูกล้มล้างโดยสิ้นเชิง
หลังกินเสร็จก็ต้องหาทางไปสถานีรถไฟซึ่งอยู่ในเมือง Denizli จริงๆอยากเปลี่ยนเป็นนั่งรถทัวร์ไปลง Selcuk เลยเหมือนกัน แต่เวลาไม่พอดีเลยต้องตามแผนเดิม
เดินจากร้านอาหารกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมและปรึกษาลุง fast ว่าจะไปยังไงดี แกกำลังยุ่งๆอยู่ก็บอกพวกเรารีบๆว่าไปรอรถ minibus เข้าเมืองที่ถนนสายหลัก เดี๋ยวก็มา พวกเราก็เดินแบกเป้กันงงๆออกมา ไหนวะ main road แต่พอสลัดลูกค้าได้ แกก็ตามมาดูว่าไปได้หรือเปล่า มีน้ำใจแท้
ออกมายืนรอรถ พ่อคู้ณณณณ เก๊กซะ
ระหว่างรอก็ดูเด็กชาว Pamukkale เล่นฟุตบอลอยู่อีกฝั่งถนนไปเพลินๆ
ซักพักรถ minibus ก็มา นั่งไป 20 นาทีก็ไปจอดที่สถานีขนส่งหรือ Otogar คนละ 3.5 TL
คันนี้เลย เหมือนสองแถวบ้านเราที่มีที่ยืนบนรถได้กรณีที่นั่งเต็ม
เดินตุปัดตุเป่ออกไปหาสถานีรถไฟ (Gar)
ถามใครก็ไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ซักคน ขณะกำลังใช้ไม้ตาย (ภาษามือและเสียง ปู๊นๆ ฉึกฉัก – กลัวตกรถไฟมากกว่ากลัวอาย ณ จุดๆนี้) ก็ได้แม่นางนี้มาช่วย น่ารักมาก นางบอกตามมาแล้วเดินไปส่งเกือบจะถึงสถานีรถไฟ
จริงๆอยู่ไม่ไกลจากสถานีขนส่ง เดิน 5 นาทีข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว
มาถึงก็วิ่งไปซื้อตั๋วก่อนเลย สนนคนละ 12.5 TL
คนขายซึ่งพูดไม่รู้เรื่องเลยบอกว่า กำลังจะออกแล้ว เดี๊ยนก็วิ่งสิคระ
เปิดประตูเข้ารถไฟไม่ได้ งงเลย เลยวิ่งไปถามคนแถวนั้น ปรากฏว่าเป็นคนขับรถไฟ แกจดเวลาให้พวกเราไว้ด้วย
แถมก่อนรถไฟจะออกยังมาตามไปขึ้นรถและจัดที่นั่งให้หลังคนขับอีกต่างหาก แต่มันไม่มีหน้าต่างเลยแอบเปลี่ยนเงียบๆ
รถไฟบ้านเขา ถือว่าดูดีมีระดับเลยทีเดียว
รถเริ่มออก
ภูเขาาา
ทุ่งนา แดนนี้ ไม่มี ความหมายยย
Pamukkale ที่ไปมาเมื่อเช้า
ภูเขาแบบซูม มีหิมะอยู่ประปราย
ณ ขณะนั้นได้เจอะกับลุงเยิ้มนั่งถัดจากพวกเราไปหนึ่งแถว ลุงแกมีพฤติกรรมประหลาดมากคือจะทักคนไปทั่ว เดินสำรวจรถไฟทุก 10 นาที ชะโงกหน้ามาบ้าง เอามือมาจับพนักพิงของฉัน เล่นเอาหลับไม่ลงต้องย้ายที่ ตอนหลังเริ่มมั่นใจว่าแกคงเมา ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร
เหมือนบ้านเราเปี๊ยบที่จะต้องมีคนมาขายขนมน้ำบนรถไฟ แต่ขอโทษ คนขายขนมปัง Simit บนรถไฟนี่ไม่ธรรมดา ไม่บอกคงนึกว่านายแบบ เลยบังคับคุณสำลีอุดหนุนน้ำเค้าซะหน่อย อิอิ
สำหรับใครที่สนใจนั่งรถไฟข้ามระหว่าง Izmir – Selcuk – Denizli ก็ลองเข้าไปดูตารางรถไฟที่นี่ได้ค่ะ จะได้วางแผนกันถูก (รถค่อนข้างตามเวลา ไว้ใจได้พอสมควร)
Click to access bassokeayd.pdf
สถานีหลักๆคือ
– Havalimani (Izmir Airport) เป็นสถานีที่ 2 นับจากสถานีต้นทาง Basemane สามารถนั่งเข้าไป/ออกมาจาก Izmir Airport ได้
– Selcuk (Ephesos) สถานีของเมือง Selcuk สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือเมืองโบราณอิฟิซุสซึ่งพวกเรามีแผนจะไปกันในวันพรุ่งนี้
– Denizli สถานีต้นทางฝั่งขวามือ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ Pamukkale เป็นสถานีที่เราจากมา
หลังจากหลับ กินขนม ถ่ายวิว มาได้ครบ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงที่หมายเมือง Selcuk ซักที คนใช้บริการค่อนข้างหนาแน่น กว่าจะเบียดลงมาได้ทำเอาเหนื่อย
คราวนี้ถึงเวลาเดินหาโรงแรม แม้จะเพิ่งหกโมงแต่แสงแทบไม่มีแล้ว
เดินตุป๊ดตุเป๋แบกกระเป๋าไปได้ครึ่งกิโลก็ถึงโรงแรมของเรา Kalehan Hotel อยู่ติดถนนใหญ่เลย
โรงแรมนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องกุญแจโบราณ ซึ่งฉันไม่ชอบเลย กว่าจะไขประตูห้องพักออกนี่ยากมาก
มาดูห้องพักกันบ้าง สไตล์บ้านคุณย่า เก่าๆ อบอุ่น
แต่ห้องน้ำอย่างเล็ก เวลาอาบน้ำม่านชอบมาโดนตัวลำบากมาก ดีที่น้ำอุ่นและแรง ส่วนในห้องนอน Heater ดันอยู่หลังม่าน ทีนี้ตอนนอนเลยปิดม่านไม่ได้เพราะมันหนาวววว
ชอบไอตัวนี้ ไอเดียเก๋มาก
ค่าเข้าพักคืนล่ะ 44.10 EUR ตกเป็นเงินไทย 1,889 THB ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 EUR = 42.8 THB คือจองล่วงหน้าแล้วโรงแรมตัดบัตรทันที ตอนนั้น EUR ยังแพงอยู่ T^T
ลงมาถามเจ้าของโรงแรมว่าแถวนี้มีร้านอาหารน่ารักๆไหม ลุงแกเลยบอกว่าที่โรงแรมก็มีอาหารขายนะ (น้าน ขายของ) และย้ำอีกว่าประเทศนี้เค้าไม่ฉลองวาเลนไทน์หรอก เวลานี้คนเข้านอนหมดแล้ววว
แม้ลุงจะพูดมาขนาดนั้น แต่พวกเราก็ได้ท้อถอยไม่ ออกไปเดินหาอาหารกินอยู่ดี
ปราสาทอะไรก็ไม่รู้ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงเชียว
นั่นไงเจอเมืองแล้ว
ค่อนข้างเงียบ โรแมนติกแบบวังเวงยังไงไม่รู้ แต่จะดีกว่านี้มากถ้าไม่มีควันอบอวลอยู่ทั้งเมือง เหมือนใครเผาอะไรซักอย่าง เหม็นมากกกก
เดินสำรวจกันมาเรื่อยๆ เจอร้านนี้ บริกรเชื้อเชิญมาก เอาเถอะ อุดหนุนเค้าหน่อย
แม้ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ผลปรากฎว่าเป็นมื้อที่ถูกใจที่สุดในทริป
ออเดิร์ฟคือสลัด
กับขนมปัง
2 อย่างนี้ฟรีแต่อย่าเผลอกินเยอะ เดี๋ยวยัดอาหารหลักไม่เข้า
meat ball 12 TL
และทีเด็ดอยู่ที่จานนี้ แนะนำโดยบริกรคนเดิม ปลาแอนโชวี่ 15 TL
สั่งน้ำเปล่าไปอีกขวด 1 TL สนนเราคามื้อนี้ 28 TL อร่อยถูกปาก ได้ชาแอปเปิ้ลฟรีอีก 2 แก้ว
บริกรคนนี้เลย น่ารักมาก ตอนถ่ายรูปยังมีเขิน
ขากลับคุณสำลีร่ำร้องอยากลองเบียร์ตุรกีเลยแวะ supermarket กัน ร้านแรก SOK เป็นร้านเด็กอนามัยเพราะไม่มีแอลกอฮอล์ขาย เอิ๊กๆ
เลยต้องไปแวะอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆชื่อ Tanrus ซื้อเบียร์ในราคา 5.5 TL และน้ำเปล่าในราคาถูกแสนถูก 0.5 TL
กลับมาโรงแรมนั่งจิบเบียร์ตาพริ้มไม่สนใจใครน่าหมั่นไส้มาก ฉันจึงขอจบตอนด้วยภาพนี้
คุณสำลีการันตีว่าละมุนนัก
ตอนต่อไปเราจะไปเมืองโบราณอันลือชื่อ Efes (ชื่อเดียวกะเบียร์เลย) หรือ Ephesus กัน เหล่าทาสแมวทั้งหลายจงเตรียมตัววววว